นิทรรศการที่นำเสนองานศิลปะผ่านการจัดวางดอกไม้โดย นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ ศิลปินนักจัดดอกไม้ผู้นำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมผ่านการจัดดอกไม้และภาพถ่าย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องเพศสภาพ หรือความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

 

ใน Light in Two Places ที่จะจัดแสดงที่ Yellow Lane Cafe แห่งย่านอารีย์ นรภัทรได้แรงบันดาลใจในการนำเสนอผลงานชุดนี้จาก 'แสง' ... โดยตั้งคำถามว่า หากแสงแดดที่สาดส่องลงมาลอดผ่านหน้าต่างของบ้านแต่ละหลัง จนเกิดเงาตกกระทบตามทิศทางซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นบ้านแต่ละหลังที่อยู่ในเขตชุมชนใกล้เคียงต่างได้รับ 'แสง' อย่างเท่าเทียมกันหรือไม่? นรภัทรถ่ายทอดผลงานผ่านความทรงจำส่วนตัว ในฐานะคนนอกที่ไม่ได้เกิดและเติบโตในพื้นที่อารีย์อันเป็นสถานที่จัดงาน และได้มีโอกาสเดินลึกเข้าไปใน ซ.อารีย์ เป็นครั้งแรก เขาพบว่าตลอดแนวทางที่เดิน พื้นที่ทั้งสองด้านต่างขนาบด้วยบ้านหลังโต รถหรูที่จอดริมทางเดินเท้า หรือแม้แต่แนวรั้วต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของบ้านหรืออาจจะเป็นคนสวน เขาแทบนึกไม่ออกว่าพื้นที่โดยรอบนี้จะมีคนจากชนชั้นกลางอยู่อาศัยได้อย่างไร เพราะทุกอย่างมันดูหรูหราไปเสียหมด 

 

จนเมื่อเขาได้พูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการสร้างสรรค์อย่าง People of Ari และ เพื่อนบ้านอารีย์ในฐานะของผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่แห่งนี้ เขาจึงได้รู้จักกับ ซ.ศาสนา ซอยที่ผู้คนจากชนชั้นกลางลงไปจะสามารถหาห้องเช่าเพื่ออยู่อาศัยได้ในบริเวณใกล้เคียงนี้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลแต่กลับแสดงให้เห็นถึงชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่คนนอกอาจไม่มีโอกาสได้พบเห็น ผลงานชิ้นนี้จึงนำเสนอ 'เงาตกกระทบ' ที่เกิดจากหน้าต่างของตึกแถวที่ตั้งอยู่ใน ซ.ศาสนา นำมาคงสภาพโครงร่างของเงาด้วยการวางดอกดาวเรืองแทนที่เอาไว้ เพื่อทำให้ตึกแถวที่อยู่ใน ซ.ศาสนา มีโอกาสเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของบ้านหรูใน ซ.อารีย์ ณ ที่แห่งนี้เป็นเวลาสั้น ๆ 

 

---

 

 

Sticker แปลเป็นไทยว่า 'รูปลอก' หรือที่เรารู้จักกันดีในรูปแบบแผ่นลอก-ติดที่มีกาวในตัว พบได้ทั่วไปทั้งแบบที่ถูกผลิตมาเพื่อการใช้งานเฉพาะอย่าง และแบบที่เจอได้แพร่หลายอย่าง Sticker คำพูด หรือ Sticker ภาพวาด

 

หากลองสังเกตดี ๆ Sticker อยู่ใกล้ตัวพวกเรามากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีการใช้งาน Sticker ทั้งเพื่อการตกแต่ง การสื่อสาร ใช้เป็นของที่ระลึก หรือแม้แต่ในสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันที่การใช้งาน Sticker เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันพวกเราเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการใช้ Sticker ติดที่ตัวหลังวัดอุณหภูมิก่อนเข้าที่สาธารณะเพื่อเป็นการบอกว่าเราสบายดี หรือจะการใช้  Sticker กำหนดพื้นที่เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคมในที่สาธารณะ 

 

ปัจจุบันอุตสาหกรรมการพิมพ์ขนาดเล็กสามารถพบได้ง่ายขึ้น การผลิตต่อครั้งไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำ ทำให้การสั่งผลิต Sticker เป็นเรื่องง่ายจนดูเหมือนว่าใคร ๆ ก็สามารถทำ Sticker ของตัวเองได้ ด้วยความหลากหลายและการถูกนำไปใช้งานอย่างน่าสนใจเพราะสามารถปรับเปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อมได้เรื่อย ๆ คาเฟ่ศิลปะ XXXYYY, ร้านหนังสือศิลปะ Vacilando Bookshop และ Teaspoon Studio จึงมาจับมือกันเพื่อจัดเป็นนิทรรศการ Whatever Sticker ที่ชวนผู้คนจากหลากหลายแวดวงมาผลิตชิ้นงาน Sticker ในมุมมองของตัวเอง ลองไปดูกันว่า นอกเหนือจากการเป็นแผ่นลอก-ติดแล้ว Sticker โดยการตีความจากศิลปินและกลุ่มคนสร้างสรรค์จะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน และนำไปแปะไว้ที่ใดได้บ้าง

 

---

 

 

นิทรรศการเดี่ยวของ อนันต์ ปาณินท์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี 2019 ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสเปิดทำการครบรอบ 10 ปี ของ MOCA Museum of Contemporary Art

 

อนันต์ ปาณินท์ เป็นหนึ่งในศิลปินที่บุกเบิกการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมในรูปแบบศิลปะนามธรรม และยังเป็นศิลปินคนสำคัญผู้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นแรกในคอลเลกชันของ MOCA Museum of Contemporary Art  นิทรรศการเดี่ยวในครั้งนี้ศิลปินได้ถ่ายทอดจินตนาการและความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นผลงานจิตรกรรมกว่า 50 ชิ้น เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับสาธารณชนผู้สนใจศิลปะ พร้อมเพลิดเพลินไปกับการเดินทางสู่โลกจินตนาการไปพร้อม  ๆ กับศิลปิน 

 

---

 

 

นิทรรศการลำดับที่ 2 ในนิทรรศการชุดสงครามเย็นของ หอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์งานขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยเน้นที่บริบททางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของไต้หวันและไทย ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงปัจจุบัน นิทรรศการนี้ที่เป็นผลลัพธ์ของการอภิปรายอย่างต่อเนื่องระหว่างศิลปินและองค์กรศิลปะทั้งสองแห่งที่เข้าร่วม โดยเป็นการนำประวัติศาสตร์สงครามเย็นกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง และยังใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่มีส่วนช่วยในการสำรวจการคงอยู่ของเศษซากและผลพวงจากยุคสงครามเย็น ซึ่งยังคงสัมพันธ์กับความเป็นจริงร่วมสมัยและอนาคตที่คลุมเครือ

 

Shadow Dancing เปิดเผยเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์กระแสรองที่ทำให้เราครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับสถานการณ์ของชีวิตความเป็นอยู่ในโลกที่ซับซ้อนและมีหลากหลายแง่มุม โดยหยิบยืมมโนทัศน์ของการเคลื่อนไหวในความมืด อันเป็นพลวัตที่ตรงข้ามกับความชัดแจ้งและความชอบธรรม ในสถานการณ์ที่เราไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน และเมื่อเราต้องจมอยู่กับความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ เราจะมองหาแสงสว่างในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ได้จากที่ไหน?

 

วิถีการดำเนินชีวิตของเราถูกรบกวนและเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังไม่นับความจริงที่ว่าเราต่างดำเนินชีวิตภายใต้การควบคุมจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกมาโดยตลอด ในทำนองเดียวกัน Shadow Dancing ยังพาดพิงถึงประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์การเมืองของไต้หวัน ตลอดจนสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองที่ปั่นป่วนในประเทศไทยที่คล้ายกับถูกม่านหมอกสีดำปกคลุมไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์จากการพบปะพูดคุยและการวิจัยออนไลน์ตลอดระยะเวลา 4 เดือน โดยศิลปินชาวไต้หวันและชาวไทย 8 คน ประกอบด้วยผลงานศิลปะสหสาขา ที่เน้นประสบการณ์และการมีส่วนร่วม รวมถึงศิลปะวิดีโอการแสดงและศิลปะจัดวางเสียง ซึ่งผลงานของแต่ละศิลปินต่างสะท้อนมุมมองอันหลากหลายและเสนอการอภิปรายอันล้ำลึกหลายชั้นและต่อเนื่องจากทั้งสองฝั่ง

 

---

 

 

เพื่อขยับขยายพื้นที่สำหรับบทสนทนาเรื่องผู้หญิง และเซ็กซ์ให้สามารถทำได้อย่างเป็นปกติ จากความเชื่อว่ายังมีผู้หญิงจำนวนมากที่ถูกคาดหวังให้ไม่แสดงออกเรื่องเซ็กซ์ ดังนั้นเพื่อสนับสนุนเสรีภาพและเซ็กซ์ที่ปลอดภัย MIRROR สื่อออนไลน์เพื่อผู้หญิงที่ต้องการ Empower ผู้หญิงไทยทุกคาแรกเตอร์ จึงจัดอิเวนต์นี้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงพกถุงยางได้อย่างเป็นปกติเหมือนพกเครื่องสำอาง และให้ผู้หญิงสามารถพูดเรื่องเซ็กซ์ได้อย่างเปิดกว้างเท่าที่เธอคนหนึ่งจะต้องการ โดยสิ่งที่เราจะได้พบกันในงานนี้ก็มีตั้งแต่ ตู้ถ่ายรูปดีไซน์พิเศษจาก SNAP SERVICE ให้ทุกคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปสามารถเข้าไปใช้บริการได้ ไปจนถึงการรับถุงยางดีไซน์สนุก ๆ ไว้พกติดตัวอย่างไม่ต้องเขินอาย ที่สำคัญคืองานนี้ฟรีตลอดงานจ้า!

 

---

 

 

นิทรรศการเดี่ยวโดย เรืองศักดิ์ อนุวัตรวิมล หนึ่งในโปรเจกต์ทางศิลปะระยะยาวที่ชื่อว่า GOLEM ซึ่งศิลปินได้เริ่มทำงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นโปรเจกต์พิเศษครั้งแรกที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง SAC Gallery และ Gallery VER ในการจัดแสดงผลงานของศิลปิน

 

ผลงานชุดนี้ศิลปินได้หยิบยืมแรงบันดาลใจจาก โกเล็ม สิ่งมีชีวิตตามตำนานเรื่องเล่าของชาวยิวที่ถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียวด้วยเวทมนตร์ตามจุดประสงค์ของผู้สร้างมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าางสรรค์ โดยศิลปินได้นำเอาภาพร่างชิ้นส่วนอวัยวะของร่างกายแต่ละชิ้น มาประกอบและเชื่อมโยงเข้าหากันผ่านเรื่องเล่าและตำนานพื้นถิ่นกลับมาประกอบเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรงตามรสนิยมของสังคม อาทิ เครื่องอุปโภคบริโภค บริการทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่าง ๆ

 

ผลงานของศิลปินเปรียบเสมือนผลงานของนักเล่นแร่แปรธาตุทางศิลปะ ที่นำเอาสหศาสตร์มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน และปลุกกลับมาให้มีชีวิตอีกครั้งผ่านผัสสะทางศิลปะ ราวกับเวทมนตร์ที่นอกจากจะประกอบร่างสร้างตัวตนของโกเล็มตัวนี้ขึ้นมาแล้ว ยังร้อยเรียงผู้ชมเข้ากับเรื่องเล่าต่าง ๆ ผ่านโครงร่างของสิ่งมีชีวิตอันสมบูรณ์แบบเหนือความเป็นมนุษย์ เปรียบกับตัวตนบนโลกที่ผู้คนล้วนจินตนาการไม่ถึง แปลกปลอม บกพร่อง และไม่สมบูรณ์แบบ

 

---

 

 

 

โปรแกรมฉายภาพยนตร์คัดสรรจาก JFTheater โดย เจแปนฟาวน์เดชั่น กรุงเทพฯ จัดฉายหนังสยองขวัญปนขบขันสัญชาติญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องราวของโรงเรียนประถมในเขตชานเมืองแห่งหนึ่งที่ถูกวิญญาณร้ายสิงสู่ เมื่อนักเรียนคนหนึ่งบังเอิญทำหัวตุ๊กตาฮานิวะหล่นหัก ทำให้นักเรียนหลายคนต้องติดอยู่ในอาคารเรียนหลังเก่าและตกอยู่ในเงื้อมมือของวิญญาณร้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลาย เพราะเป็นการผสมผสานเรื่องผีที่เล่ากันมานานของญี่ปุ่นและการใช้เทคนิคพิเศษในการถ่ายทำ ได้ออกมาเป็นภาพยนตร์แฟนตาซี สยองขวัญ และตลกที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ 

 

---

 

 

อาร์ตมาเก็ตที่ชวนเราไปเดินชอปงานศิลปะและสำรวจแรงบันดาลใจในบรรยากาศแบบตลาดกลางคืน พร้อมไปพบปะกับเหล่าคนทำงานสร้างสรรค์ ทั้งศิลปิน ดีไซเนอร์ คนทำแบรนด์ดีไซน์ และธุรกิจสร้างสรรค์ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นบนพื้นที่ยาวกว่า 800 เมตร ริมคลองผดุงกรุงเกษมซึ่งได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์แล้ว พบกับกิจกรรมสนุก ๆ มากมาย ตั้งแต่การดูหนังแปลงแบบ 'ข้ามคลอง' กับหนังไทยในดวงใจ ที่มีตั้งแต่หนังนักศึกษา หนังรางวัลไปจนถึงหนังแมส อาทิ รถไฟฟ้ามาหานะเธอ, แสงกระสือ, 2499 อันธพาลครองเมือง, สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก ฯลฯ, เวิร์กช็อปศิลปะ และไปเพลิดเพลินกับวงดนตรีอะคูสติกฟังสบาย ๆ ที่ขนศิลปินอะคูสติกมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Earth Patravee, Plastic Plastic, Poy Portrait, LANDOKMAI, Uncle Ben ฯลฯ 

 

---

 

 

 

ชมงานศิลปะ เดินชอปอาร์ตมาร์เก็ตที่จัดเต็มด้วยไอเทมสุดพิเศษที่มีเฉพาะในงาน Under the Rainbow Market ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศแห่งสายรุ้งในผลงานศิลปะชิ้นยักษ์ SIAM Rainbow Republic, 2020 โดยศิลปินชาวเชียงใหม่ มิตร ใจอินทร์ และร่วมฟังดนตรีหลากหลายสไตล์ที่จะเสริมสร้างบรรยากาศการชมและชอปให้สนุกสนานมากขึ้น ทั้งดนตรีซิตี้ป็อปแบบญี่ปุ่น ๆ ดนตรีแจ๊ส และดนตรีป็อป พร้อมพักใจแบบชิลล์ ๆ ไปกับ Century Disk Jockey แล้วไปชมและชอปงานศิลปะแบบเพลิน ๆ เกินห้ามใจ ในโซนมาร์เก็ตกัน

 

---

 

 

อิเวนต์ที่ชวนเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ดิน และโลกใบนี้ พร้อมขยับเข้ามาใกล้ชิดและรู้จักกับ 'ดิน' ทรัพยากรแสนล้ำค่าที่อยู่ใกล้ตัวเรา แต่เราอาจหลงลืมคุณค่าและปล่อยให้ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ ผ่านกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่งานทอล์กที่ชวนคนรู้จริงเรื่องดินมาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานกับดิน ไม่ว่าจะเป็น ชารีย์ บุญญวินิจ (ลุงรีย์ Uncleree Farm) เกษตรกรผู้สร้างสรรค์ความเป็นไปได้ใหม่จากดินและนวัตกรรม, สุวัลญา ศักดิ์สมบัติ (แซนด์ Suwanya) ศิลปินที่ผลิตสีจากดินและธรรมชาติ, สุชาดา โสภาจารี (ฝาเบียร์ Wasteland Bangkok) บาร์เทนเดอร์ผู้หยิบจับดินและอาหารมาพัฒนาเป็นเครื่องดื่มสุดพิเศษ 'ไร้เศษ' และ ภาคภูมิ โกเมศโสภา ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนและผู้ร่วมก่อตั้ง Reviv, การออกบูทขายผลิตภัณฑ์และบริการที่มุ่งเน้นความยั่งยืน จาก Reviv, Laika, Ali Everyday Products, Wasteland, Uncleree, Suwanya, การจัดแสดง Installation Art ที่สร้างสรรค์จากดิน โดยศิลปิน พริม (Primiita) - ดีน (Blue Dean) และ Reviv รวมไปถึงเวิร์กชอปที่จะเราจะได้ไปเปิดประสาทสัมผัสไปกับดินจากหลากหลายแห่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวร่วมกัน

 

---

 

 

นิทรรศการที่จัดแสดงผลงานของศิลปินป็อปอาร์ต เทิดธันวา Turn! คะนะมะ บอกเล่าเรื่องราวของ SUMMER TIME หรือ ช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศิลปินชื่นชอบที่สุด เพราะเป็นฤดูกาลที่ต้นไม้และพืชต่าง ๆ เบ่งบาน เต็มไปด้วยผีเสื้อสีสันหลากหลายที่มารวมตัวรอบ ๆ ธรรมชาติอันสวยงาม ศิลปินได้รับแรงบันดาลใจจากต้นบอนไซที่เขาได้ไปซื้อมาดูแล จนพัฒนากลายมาเป็น บอนซี่ (Bonsy) คาแรกเตอร์ประจำตัวของศิลปิน ที่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทที่คอยติดตามการผจญภัย พร้อมเดินทางไปกับเด็กชายและเด็กหญิงที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและความทะเยอทะยาน

 

ในทริปที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต ศิลปินได้มีโอกาสไปสอนศิลปะให้กับเด็กและวัยรุ่นในสถานสงเคราะห์ของกรุงเทพฯ โดยศิลปินเองรู้สึกประทับใจและซึมซับถึงความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานเพื่อหาชีวิตที่ดีที่สุดให้กับตัวเองที่ไม่อาจสัมผัสได้เลยในบรรยากาศห้องเรียนเพียงอย่างเดียว ศิลปินมีความต้องการที่จะบันทึกเรื่องราวและเก็บห้วงเวลาที่ยังเป็นเด็กอยู่ในตัวทุกคน รวมถึงใส่เรื่องราวของตัวศิลปินเองด้วยในแต่ละชิ้นงาน เขาจึงสร้างคาแรกเตอร์เด็กชายและเด็กหญิงที่มีเอกลักษณ์เป็นการสวมมงกุฎทอง ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชฎาที่ใช้สวมใส่ที่พบได้ในจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งถ่ายทอดความเป็นวัฒนธรรมไทยดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน  ผนวกเข้ากับการใช้เทคนิค Graffiti (กราฟฟิตี้) เพื่อถ่ายทอดภาพการเดินทางเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จสำหรับเด็กชายและเด็กหญิงที่เขาเคยได้พบเจอ

 

 

---

เครดิตภาพปกจาก ตลาดนัดผดุงศิลป์ Art Market