เนื่องด้วยความร้อนวิชาที่เราเพิ่งได้ไปเข้าร่วมคลาส Wine 101 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เราเลยตั้งใจหอบหิ้วความรู้และคลังคำศัพท์สำหรับนักดื่มไวน์มือใหม่มาแชร์กัน ซึ่งที่เซอร์ไพร์สมาก ๆ คือคลาสนี้เป็นหนึ่งในดีลลับจากแคมเปญ Top Table Champions 2020 ของสื่อพี่สื่อน้องของเราอย่าง BK Magazine ที่เราเคยเขียนแนะนำกันไปบ้างแล้ว (อ่านต่อ: 16 วันเท่านั้น! กับดีลร้านไฟน์ไดนิงที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ คัดสรรโดย Top Tables Champions 2020) และก็ถือเป็นหนึ่งในดีลที่ได้รับกระแสตอบรับดีมาก ๆ จนขายคอร์สไปหมดเกลี้ยง

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คลาส Wine 101 ของ Top Table Champions 2020 รอบนี้ กระแสตอบรับดีเหนือความคาดหมาย เพราะเขาจับมือร่วมกับพาร์ตเนอร์เซียนไวน์อย่าง Wine Garage พาตัวไวน์กูรูอย่าง Kim Wachtveitl ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมไวน์มากว่า 25 ปี มาแชร์ความรู้พื้นฐานสำหรับนักดื่มไวน์มือใหม่กันแบบหมดเปลือก รวมถึงจับมือกับพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคำศัพท์อันดับ 1 ของประเทศไทยอย่าง Longdo Dict โดยมีแบ็กกราวนด์เป็นสถานที่สวย ๆ อย่างร้าน Gigi Dining Hall & Bar เปิดบ้านให้เรานั่งจิบไวน์แบบฟิน ๆ ไปพร้อมกับเรียนวิชา Wine 101 แบบชิลล์ ๆ
ไหน ๆ ทุกอย่างก็เพอร์เฟกต์สำหรับนักดื่มมือใหม่ซะขนาดนี้ เราขอเริ่มพาไปเปิดโลกคลังคำศัพท์เท่ ๆ ที่ได้มาจากคลาสนี้กันเลยดีกว่า


1. Fruit Forward
ถ้าในวงการค็อกเทลมีคำว่า Spirit Forward ที่หมายถึงค็อกเทลที่มีรสชาติเหล้าเข้ม ๆ เป็นตัวนำ ในวงการไวน์ก็มีคำว่า Fruit Forward เอาไว้เรียกไวน์ที่มีรสชาติผลไม้ในโทนฟรุตตี้เป็นตัวนำเช่นกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วคุณคิม ไวน์กูรูของเรา บอกว่าเป็นรสชาติเริ่มแรกที่นักดื่มไวน์มือใหม่มักชื่นชอบ เพราะเป็นรสชาติสไตล์ผลไม้กินง่ายที่ไม่ว่าใครก็ต้องหลงรักเป็นธรรมดา
2. Earthy
คำนี้ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงจากคำแรก เพราะ Earthy เป็นนิยามของการเรียกไวน์ที่ไม่ได้ให้รสชาติผลไม้เปรี้ยวหวานเป็นตัวนำ ซึ่งเจ้าความ Earthy ในไวน์นี้อาจสื่อถึงกลิ่นและรสชาติหลายแบบ ทั้งรสชาติโทนเครื่องเทศ เช่น พริกไทย กานพลู รวมถึงรสชาติที่ทำให้เรารู้สึกเฝื่อน ๆ และกลิ่นของธรรมชาติอย่าง ดิน หญ้า เปลือกสน เป็นต้น
3. Body
น้ำหนักของไวน์ที่เคลือบอยู่บนลิ้นสามารถทำให้นักดื่มไวน์บ่งบอกถึงลักษณะของ Body ของไวน์แต่ละตัวได้ โดยถ้าไวน์ตัวไหนดื่มง่ายลื่นคอสุด ๆ เราจะเริ่มเรียกว่า Light Body ส่วนถ้าหนักขึ้นมาหน่อยแบบไม่ได้ลื่นปรื๊ดลงคอขนาดนั้น ก็สามารถเรียกได้ว่า Medium Body แต่ถ้าไวน์ตัวไหนที่มีความเข้นข้นสูง บอดี้หนักหน่วงจนสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่เคลือบอยู่บนลิ้นและรอบ ๆ กระพุ้งแก้ม เราสามารถเรียกเจ้าไวน์ตัวนั้นว่า Full Body ได้เลย
4. Dry
นี่คือหนึ่งในคำศัพท์ที่เรามักได้ยินเซียนไวน์พูดบ่อย ๆ ในวงการนักดื่ม หลายคนอาจคิดว่าความ Dry หมายถึงไวน์ที่มีลักษณะแห้ง ๆ สากลิ้น แต่นั่นไม่ถูกซะทีเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว Dry หมายถึงไวน์ที่มีความหวานแทรกอยู่น้อยมาก มีน้ำตาลไม่เกิน 0.2 เปอร์เซ็นต์ ทำให้รสชาติที่ได้มักจะค่อนไปในทางขมฝาดลิ้น มากกว่าการเป็นรสชาติโทนฟรุตตี้ดื่มง่ายคล่องคอ
5. Tannin
เชื่อว่านี่คือหนึ่งในคำที่หลาย ๆ คนสงสัยใคร่รู้ เพราะเวลาเราไปซื้อไวน์ตามห้าง ซอมเมอลิเยร์มักจะติดปากพูดคำนี้ออกมาอยู่บ่อย ๆ ใครที่ไม่อยากหน้าแตกคราวหน้าว่ามันหมายถึงอะไร เรามีเทคนิคง่าย ๆ ให้เปรียบรสชาติ Tannin ในไวน์เหมือนความขมฝาดลิ้นแบบที่เราเจอได้ในกาแฟดำนั่นเอง เจ้าความ Tannin ในไวน์นี้เกิดจากเปลือกองุ่นที่ไว้ใช้ทำไวน์แดงโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะหายไปเมื่อไวน์ตัวนั้นถูกบ่มไปนานหลายปี
6. Finish
เราเปรียบเทียบ Finish ได้คล้าย ๆ คำว่า Aftertaste ในวงการกาแฟ การจับรส Finish จะต้องรอเมื่อตอนกลืนไวน์ลงคอไปเรียบร้อยแล้ว และโฟกัสในรสชาติ กลิ่น และบอดี้ที่เหลืออยู่ในปาก หากไวน์ตัวไหนยังคงเต็มตื้นอยู่ในปากของเรา นั่นหมายถึงไวน์ตัวนั้นมี Finish ที่ยาวนานนั่นเอง


7. Typicity
เดินทางมาถึงคำศัพท์เก๋ ๆ ที่ถ้าใครพูดคำนี้ออกมาคือเท่มาก นั่นคือ Typicity ที่เอาไว้ใช้นิยามไวน์ตัวไหนก็ตามที่มีคาแรกเตอร์จัดจ้าน มีความเฉพาะตัวสูง จนผู้ดื่มสามารถจำแนกรสชาติของไวน์ได้อย่างแม่นยำ
8. Complexity
'ไวน์ที่แพงมักมี Complexity สูง' ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะไวน์เกรดมาสเตอร์พีซหลาย ๆ ตัวมักถูกทำออกมาให้มีความซับซ้อน จำแนกรสชาติได้หลายเลเยอร์ เท่ากับว่า Complexity เป็นตัวแทนของความลุ่มลึกและเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติซับซ้อน หลากหลาย เวลาเราจิบไวน์แล้วรู้สึกว่าไวน์ตัวนั้นช่างไม่ธรรมดา เมื่อนั้นแหละที่เราสามารถงัดเอาคำว่า Complexity มาใช้ได้เลยทันที
9. Crowd Pleasure
อีกหนึ่งคำที่มักได้ยินบ่อย ๆ จากซอมเมอลิเยร์ที่ขายไวน์ให้เราตามซูเปอร์ใหญ่ ๆ เพราะหากเราต้องการเลือกซื้อไวน์ที่ถูกใจทุกคนไว้สำหรับงานปาร์ตี้หรืองานเลี้ยงฉลอง เราสามารถบอกซอมเมอลิเยร์ได้เลยว่าเราอยากได้ไวน์ที่เป็น Crowd Pleasure คือตัวเบสิกที่มั่นใจได้ว่าซื้อไปแล้วทุกคนชอบ ไม่มีใครทำหน้าเหยเกหรือเข้าไม่ถึงแน่นอน


นอกจากคลังคำศัพท์เท่ ๆ ที่เอาไว้ใช้ในวงการนักดื่มไวน์แล้ว เวลา 2 ชั่วโมงเต็มของคลาส Wine 101 นี้ ยังอัดแน่นไปด้วยข้อมูลสนุก ๆ ที่นักดื่มไวน์มือใหม่อย่างเราจดลงสมุดโน้ตรัว ๆ แถมปิดท้ายด้วยการชิมไวน์มาถึง 8 ตัว ที่คัดมาโดยทีม Wine Garage ทั้งไวน์ขาว สปาร์กกลิงไวน์ ไวน์แดง ไปจนถึงไวน์หวาน (Sweet Wine) พร้อมวิเคราะห์ไวน์แต่ละตัวด้วยคำศัพท์ที่ร่ำเรียนมา ฟีลลิงเหมือนเป็นการยกระดับการจิบไวน์ของเราให้ดูไฮโซขึ้นไปอีกขั้น ปิดท้ายด้วยมื้ออาหารอิ่มจุกจาก Gigi Dining Hall & Bar ที่เตรียมมาสำหรับให้จับคู่แพร์ริงกับไวน์ทั้งหลายได้อย่างลงตัว
ถือเป็นอีกหนึ่งดีลฟิน ๆ ที่เราแอบไปสอยมาจากงาน Top Table Champions 2020 ใครที่พลาดโอกาสเปิดโลกวิชา Wine 101 ในคลาสนี้ไปก็ไม่ต้องเสียใจนะ เพราะดีลเจ๋ง ๆ แบบนี้ยังมีให้เลือกซื้อเก็บไว้ใช้อีกเพียบที่ https://www.toptables.asia ถ้าไม่รีบพุ่งตัวไป แล้วจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้เด้อ!