การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไม่เพียงพรากวิถีการดำเนินชีวิตตามปกติของเราไป แต่ยังพรากกิจกรรมนอกบ้านต่าง ๆ ที่คอยเป็นเติมพลังชีวิตให้เรามีแรงใจไปเรียนหรือไปทำงานในเช้าวันจันทร์ โดยเฉพาะการออกจากบ้านไปดูหนังที่โรงหนัง ซึ่งเคยเป็นกิจกรรมง่าย ๆ ที่สร้างความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราและใครหลายคนในช่วงสุดสัปดาห์
ถึงช่วงนี้เราจะออกไปดูหนังไม่ได้ แต่เราก็ยังเหลืออีกหนทางหนึ่งซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง นั่นก็คือการทำบ้านให้เป็นโรงหนังเองซะเลย! ซึ่งการพลิกบ้านของเราให้เป็นโรงหนังแบบง่าย ๆ ไม่เพียงเป็นหนทางรอดของเหล่ามูฟวี่เลิฟเวอร์เท่านั้นนะ แต่ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแต่งบ้านให้กุ๊กกิ๊กขึ้นด้วย เพราะเราสามารถพลิกผนังบ้านเปล่า ๆ ให้เป็นผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยภาพเคลื่อนไหวจากหนังเรื่องโปรดของเราด้วย แค่คิดก็สนุกแล้ว
เอาล่ะ ก่อนที่จะไปสร้างแหล่งพักพิงจิตใจชั่วคราวด้วยการเปลี่ยนบ้านเป็นโรงหนัง เราก็ขอแนะนำ 4 ข้อชวนคิดและสิ่งที่เราต้องเตรียมในการสร้างหนังที่บ้านกันก่อนนะ
เครดิตภาพปก: โปรเจกเตอร์ Sony LSPX-P1
โปรเจกเตอร์

เรียงจากซ้ายไปขวา: Anker Nebula Capsule ii Mini / Xiaomi Mijia HD Projector (Youth Edition) / KODAK Luma 150 Pocket Projector
หัวใจหลักของการพลิกบ้านเป็นโรงหนังก็คือเครื่องฉายโปรเจกเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างมู้ดของโรงหนัง ให้เรารู้สึกว่าได้ดูหนังในโรงหนังกันจริง ๆ ปัจจุบันเจ้าโปรเจกเตอร์สำหรับฉายหนังดูเองที่บ้านก็มีหลากหลายยี่ห้อและราคา เริ่มต้นที่ 2,000 ต้น ๆ ไปจนถึงหลักหมื่นปลาย ๆ
ปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาของแต่ละตัวต่างกันก็คือประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะความสว่างในการฉายภาพ หรือ ลูเมนส์ (Lumens) ซึ่งยิ่งค่าลูเมนส์สูง ความสว่างของภาพก็จะยิ่งมาก ทำให้สามารถฉายในห้องที่มีความสว่างมากขึ้นได้ เช่นเดียวกับราคาที่จะยิ่งสูงตามค่าลูเมนส์ที่เพิ่มขึ้น
ความสว่างของลูเมนส์ในโปรเจกเตอร์ที่วางขายกันตอนนี้มีตั้งแต่น้อยกว่า 1,000 ที่เหมาะสำหรับการฉายในห้องมืด หรือห้องที่มีแสงเพียงเล็กน้อยน้อยอย่างห้องนอน หากขยับจาก 1,000 ขึ้นมาก็จะเป็นค่าความสว่างปานกลางที่เหมาะกับห้องเรียนหรือนั่งเล่นในบ้านของเรา แต่หากจะฉายในสวนข้างบ้านหรือพื้นที่กลางแจ้ง ก็ควรเป็น 2,000-3000 ลูเมนส์ขึ้นไป ตรงนี้ต้องลองพิจารณากันดูแล้วล่ะว่าความสว่างระดับไหนที่เหมาะกับพื้นที่ที่เราเตรียมไว้จัดโรงหนังในบ้าน
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาของโปรเจกเตอร์แต่ละตัวแตกต่างกัน ก็คือโปรเจกเตอร์บางตัวจะพ่วงระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์และการเชื่อมต่อไวไฟมาด้วย ทำให้เราสามารถเปิดหนังดูจากเน็ตฟลิกซ์ ยูทูบ หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้โดยตรง แบบไม่ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ก่อน หรือบางรุ่นก็จะเป็นแบบพกพาที่ใช้การชาร์จแบต ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายเอาไปตั้งตามที่ต่าง ๆ ในบ้านได้ง่าย
ผนังหรือจอ?


หากเรามีพื้นที่กำแพงว่าง ๆ เรียบ ๆ อยู่แล้ว ก็สามารถใช้พื้นที่นั้นเป็นจอสำหรับโรงหนังของเราเองได้เลย (ทางที่ดีผนังควรเป็นสีขาวหรือเทานะ เพื่อที่สีของภาพจะได้มีเพี้ยนมาก) แต่ถ้าอยากได้คุณภาพของภาพที่คมชัดมากขึ้น ก็ควรเลือกผ้าใบหรือสกรีนสำหรับฉายโปรเจกเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันราคาของผ้าใบก็เริ่มตั้งแต่หลักร้อยสบายกระเป๋า โดยจะเป็นผ้าใบสีขาวธรรมดา ๆ แต่อาจช่วยเรื่องการสะท้อนของแสงได้ดีมากกว่าผนังเปล่า ๆ หรืออาจเป็นผ้าใบที่ดึงรอกชักเก็บได้ สำหรับสกรีนฉายหนังที่ราคาขยับขึ้นมา อาจจะมีเรื่องคุณภาพของเกน (Gain) ซึ่งเป็นหน่วยวัดปริมาณของแสงที่กระทบกับจอแล้วย้อนกลับไปหาผู้ชม ยิ่งเกนมาก สีและแสงก็จะยิ่งคมชัดมากขึ้น
โลเคชัน

โลเคชันที่เราจะเลือกใช้เป็นพื้นที่สำหรับฉายหนังนั้นสำคัญมาก ๆ เพราะจะช่วยกำหนดได้ว่าเราจะต้องเตรียมอุปกรณ์อย่างโปรเจกเตอร์หรือจอแบบไหน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งใจว่าจะฉายหนังขึ้นเพดานในห้องนอน เราก็อาจเลือกโปรเจกเตอร์แบบพกพาที่สะดวกในการเคลื่อนย้ายหรือปรับมุมภาพ หรือหากเราตั้งใจจะฉายภาพในห้องนั่งเล่น ก็อาจต้องพิจารณาโปรเจกเตอร์ที่มีค่าลูเมนส์สูงสักหน่อย เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุด โปรเจกเตอร์แต่ละตัวนั้นจะมีอัตราส่วนการฉาย (Throw Ratio) ที่ต่างกัน โดยค่าอัตรานี้จะเป็นตัวกำหนดว่า เราควรวางโปรเจกเตอร์ห่างจากจอเป็นระยะเท่าไหร่ เพื่อจะได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งการรู้ค่าของอัตราส่วนการฉายที่ระบุไว้ในโปรเจกเตอร์แต่ละตัวก็จะช่วยให้เราพิจารณาได้ว่า โปรเจกเตอร์ตัวไหนเหมาะกับพื้นที่ที่เราเล็งไว้ว่าจะทำเป็นโรงหนัง
ตัวอย่างการดูค่าอัตราส่วนการฉายที่ระบุมากับโปรเจกเตอร์ก็คือ หากโปรเจกเตอร์ระบุว่ามีอัตราส่วนการฉายภาพ 1.25:1 ก็หมายถึง หากวางโปรเจกเตอร์ห่างจากจอ 1.25 เมตร เราจะได้ภาพที่มีขนาดความกว้าง 1 เมตรนั่นเอง ทีนี้ก็ต้องลองวัดดูว่าพื้นที่ที่เราจะใช้ฉายหนังนั้นมีระยะห่างจากจอกับที่วางโปรเจกเตอร์เท่าไหร่แล้วล่ะ
เสียง

เรียงจากซ้ายไปขวา Harman Kardon Onyx Studio 4 / Victrola Bluetooth Speaker Table / Sony 3.1ch Dolby Atmos/DTS:X soundbar
ทีจริงแล้วโปรเจกเตอร์ที่วางขายในปัจจุบันจะมีลำโพงติดมาด้วยอยู่แล้ว แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าคุณภาพของเสียงก็จะอยู่ที่ 'พอรับได้' เท่านั้น และอาจจะอู้อี้ไปหน่อย หากตำแหน่งที่วางโปรเจกเตอร์กับตำแหน่งที่เราจะนั่งนอนดูหนังอยู่ห่างกัน ทางที่ดีที่สุดก็คือการหาลำโพงหรือบลูทูธสปีกเกอร์มาเชื่อมต่อกับตัวโปรเจกเตอร์อีกทีหนึ่ง จะเอาให้เสียงกระหึ่มดังแค่ไหน ก็เอาตามที่เงินในกระเป๋าเราพึงพอใจได้เลย (ระวังเพื่อนบ้านด่าเอาก็พอ)