กระแสการแต่งบ้านและแต่งห้องยังคงยืนยาวต่อเนื่องมาจากช่วงล็อกดาวน์ที่ทำให้เราต้อง Work From Home กันอยู่พักใหญ่ ซึ่งการต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านนานขึ้น ก็ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับพื้นที่ในบ้านกันมากขึ้น และแนวทางการพลิกบ้านให้น่าอยู่ของคนส่วนใหญ่ ก็คงหนีไม่พ้นการตกแต่งห้องตัวเองโดยอ้างอิงจากรูปห้องสวย ๆ ของคนอื่นใน Pinterest
แต่จะบอกว่า ที่จริงแล้วการทำบ้านให้น่าอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นได้ด้วยตา แบบว่าถ่ายรูปออกมาแล้วสวยอย่างเดียวเท่านั้นนะ แต่เราต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบ 'ความรู้สึก' หรือประสบการณ์การอยู่บ้านที่ซึมซับได้ผ่านผัสสะทั้งหมดของเราด้วย เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้อาศัยอยู่ในภาพถ่าย แต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จริง ๆ
แล้วการออกแบบประสบการณ์ความรู้สึกในการอยู่บ้านนั้นสามารถทำได้อย่างไรบ้าง? ไปดูตัวอย่างจากทริกเล็ก ๆ ที่เรารวบรวมมาไว้ให้ที่นี่เลย
กำหนดพื้นที่ทำงาน

ใครที่มีประสบการณ์การทำงานจากบ้าน หรือยังต้องนำงานจากที่ทำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน ก็คงเข้าใจดีว่าปัญหาน่าหนักใจก็คือ พื้นที่พักผ่อนของเราได้กลายเป็นพื้นที่ทำงานไปเสียแล้ว แล้วจะบอกว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรมองข้ามไป เพราะ Harvard Business เคยกล่าวถึงปัญหานี้มาแล้ว และได้แนะนำวิธีการใช้บ้านเป็นที่ทำงานในแบบที่ทำให้เราเครียดน้อยลง แต่โปรดักทีฟมากขึ้น ได้งานมากขึ้น โดยให้เรากำหนดพื้นที่ในบ้านสำหรับงานแต่ละแบบโดยเฉพาะ เช่น ใช้พื้นที่ตรงโต๊ะอาหารสำหรับการประชุมงานต่าง ๆ ส่วนโซฟาในห้องนั่งเล่นก็เป็นที่สำหรับการทำรีพอร์ต เป็นต้น โดยหัวใจสำคัญของการแบ่งพื้นที่ก็คือการที่เราได้เคลื่อนย้ายไปตามจุดต่าง ๆ ไม่จับเจ่าอยู่ที่เดียว อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่เราไม่ควรเอางานไปทำเลยก็คือ ห้องนอน หรือเตียง
เติมสีเขียวให้ห้อง

จริงอยู่ที่การปลูกต้นไม้ในห้องนั้นเป็นการตกแต่งที่ใครก็ทำกันอยู่แล้ว แต่จะบอกว่าประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านนั้นมีมากกว่าการเติมความสดชื่นมีชีวิตชีวาให้พื้นที่ เพราะต้นไม้สามารถวัดปริมาณแสงธรรมชาติในห้องได้ว่ามีเพียงพอหรือไม่ ซึ่งแสงธรรมชาติในห้องนั้นสำคัญกว่าที่เราคิด อ้างอิงจาก งานวิจัย ที่บ่งชี้ชัดว่า แสงธรรมชาติช่วยลดอาการปวดหัวและปวดตาที่เกิดจากการจ้องจอนาน ๆ ได้ และการเติมต้นไม้ลงในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้มันเจริญเติบโตได้ดีนั้น ต้องคำนึงถึงปริมาณแสงจากภายนอกแบบที่ว่า จึงถือเป็นอีกมาตรวัดว่าต้นไม้ประดับห้องที่สดสวยความหมายถึงแสงแดดที่ส่องเข้ามาอย่างเพียงพอ ทั้งสำหรับเจ้าต้นไม้เขียวของเราและตัวเราด้วย
เก็บของให้เข้าที่และเรียบร้อยอยู่เสมอ

แน่นอนว่าการมีบ้านรกย่อมไม่ส่งผลดีต่อเราอยู่แล้ว แต่เราอยากย้ำอีกที่ว่า การเก็บของภายในบ้านให้เข้าทีเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะมี งานวิจัย ที่บ่งชี้ว่า ข้าวของที่กระจัดกระจายรกรุงรังนั้นส่งผลเสียต่อสมาธิ ทำให้เราวอกแวกและอยู่ไม่เป็นสุข เพราะฉะนั้นการเก็บของต่าง ๆ ให้เข้าที่จึงส่งดีต่อผลต่ออารมณ์และความรู้สึกในการอยู่บ้านของเรามาก ๆ
อย่าขาดเสียงเพลง

การมีเสียงดนตรีเคล้าคลอในบ้านช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเป็นดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้องอย่าง แจ๊ซ บลู หรือคลาสสิก ก็จะทำให้เรามีเสียงแบ็กกราวนด์ในบ้านที่ช่วยให้เราทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างมีความสุขแบบไม่รู้ตัว
กลิ่นที่ดี ชีวิตที่ดี

ข้อนี้คือสิ่งที่คนรักการแต่งบ้านส่วนใหญ่มักมองข้ามไป เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วกลิ่นในบ้านนี่ล่ะที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อมู้ดของเราเมื่ออยู่บ้าน โดยที่กลิ่นต่าง ๆ ก็จะส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น กลิ่นกาแฟที่ช่วยสร้างสมาธิ กลิ่นโรสแมรีที่ทำให้เรานึกถึงความทรงจำเก่า ๆ กลิ่นมะลิที่ช่วยเรียกพลังกลับคืนมาจากวันอันเหนื่อยล้า เป็นต้น ลองเลือกกลิ่นที่ใช่สำหรับสเปซนั้น ๆ ดู แล้วเชื่อเถอะว่าห้องของเราจะน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นหลายเลเวล
เครดิตข้อมูล thespaces.com