เชื่อว่าช่วงนี้ หน้าฟีดเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทุกคนคงคล้าย ๆ กัน นั่นก็คือ เต็มไปด้วยรูปของเพื่อนที่ออกไปตะลุยโลกกว้าง (ที่ไกลสุดคือ หัวหิน) ราวกับคนรอบตัวเรา (รวมถึงเราด้วย) ต้องการการปลดปล่อยและโหยหาการท่องเที่ยว หลังจากที่ใช้ชีวิตภายใต้มาตรการล็อกดาวน์กันมาหลายเดือน ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า ชีวิตปกติที่เราเคยคุ้นกำลังจะกลับมาแล้วนะ
แต่ใครที่ไปเที่ยวช่วงนี้ก็คงสังเกตกันว่า การไปเที่ยวของเรานั้นมีวิถีที่เปลี่ยนไปจากเดิมก่อนล็อกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิวรอเพื่อเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ที่มีการจำกัดจำนวนคนในแต่ละรอบ หรือการต้องเช็กอินก่อนเข้าร้านรวงต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของวิถีการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ที่กำลังจะกลายเป็นวิถีใหม่ที่เรากำลังจะต้องทำตัวให้คุ้นชิน เพราะจะเป็นนิวนอร์มอลที่อยู่กับเราไปอีกนาน
วันนี้เราจึงอยากชวนชาวซอยมิลค์มาสำรวจวิถีการท่องเที่ยวแบบใหม่ เพื่อเป็นการเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับเหล่าคนชีพจรลงเท้าอย่างพวกเรากัน โดยเฉพาะการเตรียมตัวและเตรียมใจพบความเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงเวลาที่สนามบินกลับมาเปิดทำการ และเราสามารถบินไปเที่ยวต่างประเทศได้
แถวตม.ที่ยาวขึ้น

เมื่อถึงเวลาที่น่านฟ้าของโลกเปิดทำการอีกครั้ง ให้ทำใจไว้ได้เลยว่า จุดตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินต่าง ๆ ที่บางแห่งก็คิวยาวอยู่แล้ว จะต้องยาวไปอีก และใช้เวลาที่จุดนี้ยาวนานขึ้นไปอีกแน่ ๆ เพราะสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดสำหรับการแพร่ระบาดของโลก ก็คือเชื้อที่มากับนักท่องเที่ยวหรือคนนอกประเทศนั่นเอง เพราะฉะนั้นเตรียมใจไว้เลยว่า จะต้องเกิดการเฝ้าระวังและจำแนกคนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และมีความเป็นไปได้สูงมาก ๆ ว่า ในอนาคตจะมีการนำชุดคิตตรวจไวรัสมาใช้กันตั้งแต่จุดตรวจคนเข้าเมืองนี่แหละ
แค่พาสปอร์ตอาจไม่พอ

ปกติแล้วนอกจากพาสปอร์ตที่เราต้องพกติดตัวเป็นเอกสารสำหรับการเข้าเมือง ก็มีแค่วีซาสำหรับเข้าประเทศเท่านั้นที่เราต้องแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ แต่หลังจากนี้ไป การเดินทางเข้าประเทศต่าง ๆ อาจต้องแนบใบรับรองการตรวจเชื้อ หรือไม่ก็ใบรับรองว่าเราได้รับวัคซีนป้องกันโคโรนาแล้ว (ในกรณีที่วัคซีนได้รับการค้ดค้นแล้ว) และไม่ใช่แค่ที่จุดตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น แต่เราอาจต้องพกใบรับรองนี้ติดตัวไปตลอดเวลาเหมือนพาสปอร์ตเลยล่ะ
การเที่ยวจะแพงขึ้น
มีการคาดการณ์กันว่า ต่อจากนี้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ อาจมีการประกาศล็อกดาวน์อละปิดประเทศกันอีกเป็นระยะ ๆ แม้ในกรณีที่สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในอนาคต เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เราสามารถเดินทางไปยังประเทศนั้น ๆ ก็มีระยะเวลาที่สั้นลง ทำให้เราต้องแย่งชิงฟาดฟันที่นั่งบนเครื่องบินที่จะไปยังประเทศที่เราต้องการในช่วงเวลานั้นให้ได้ ซึ่งก็หมายถึงโอกาสสูงที่ที่นั่งเหล่านั้นจะมีราคาแพงขึ้น

ไม่เพียงแค่ที่นั่งที่จำกัดที่มีผลต่อราคาค่าตั๋วที่แพงขึ้น แต่สายการบินต่าง ๆ ยังต้องลดจำนวนที่นั่งเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร ยังไม่รวมเครื่องมืออื่น ๆ ที่สายการบินจำเป็นต้องหามาติดตั้งเพื่อป้องกันโอกาสในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ตัวอย่างเช่น สายการบิน Emirates ที่ทำการติดตั้งเครื่องตรวจจับไวรัสด้วยการสแกนนิ้วมือ เป็นต้น อย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นไปไม่ได้นะ เพราะหลังจากเหตุการณ์ 9/11 วิถีการเดินทางทางอากาศก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนกลายเป็นนิวนอร์มอลที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเครื่องสแกนในสนามบินที่เข้มงวดขึ้น หรือการเพิ่มชนิดสิ่งของที่เราห้ามพกขึ้นเครื่องบิน
เราเองก็จะแพ็กกระเป๋าต่างไปจากเดิม

ก่อนหน้านี้ การจัดกระเป๋าเดินทางของเราอาจต้องคำนึงแค่ว่าเสื้อผ้าที่เราจัดไปนั้นเข้ากับสถานที่ที่จะไปมั้ย? ถ่ายรูปออกมาจะสวยหรือเปล่า? แต่ต่อจากนี้ไป เราอาจต้องคิดเผื่อพื้นที่ในกระเป๋าสำหรับกองทัพทิชชู่เปียก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รวมไปถึงคลังหน้ากากอนามัยสำหรับหยิบมาใช้ในแต่ละวัน
เราจะห่างกันมากขึ้น และเบียดกันน้อยลง

ตอนนี้สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วโลกที่เป็นจุด Tourist Attraction เริ่มมีมาตรการจำกัดคนเข้าชม และระยะเวลาที่ผู้เข้าชมสามารถเดินชมสถานที่ได้ ตัวอย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ Galleria Borghese ในกรุงโรมที่เป็นจุดดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวเนื่องจากมีรูปปั้นและผลงานศิลปะที่ชวนตื่นตาตื่นใจ ที่ใครมาโรมก็ต้องมาถ่ายรูป ตอนนี้เขาก็มีมาตรการลดเวลาในการเข้าชมสำหรับตั๋ว 1 ใบ เพื่อลดการแออัดของผู้เข้าชมด้วยล่ะ
ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าเราจะได้เที่ยวกันแบบเต็มรูปแบบ หรือเราอาจต้องยอมรับแล้วจริง ๆ ว่าการท่องเที่ยวแบบที่เราคุ้นเคยจะไม่กลับมาแล้ว แต่ถึงยังไง ก็อย่าถอดใจออกไปตะลุยโลกกว้างกันนะ!
เครดิตรูปจาก unsplash.com
ขอบคุณข้อมูลจาก travelperk.com, washingtonpost.com