เทศกาลวันหยุดยาวจะมาอีกแล้ว ถ้าเหล่านักเดินทางทั้งหลายยังไม่จองตั๋วเตรียมบินไปที่ไหน เราก็มีแนะนำให้ไปตามรอยกันกับมหานคร ดูไบ (DuBai) แหล่งผลิตน้ำมันสู่ตลาดโลกและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย มีดีมากมายทั้งเป็นมรดกและแหล่งรวมวัฒนธรรมอันหลากหลายที่รวมกันอย่างลงตัว การพัฒนาของที่นี่ก็น่าอัศจรรรย์มาก ๆ จากพื้นที่แห้งแล้งมีแต่ทะเลทรายในอดีต เปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง สมกับเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก แถมหลาย ๆ สถานที่มีดีกรีเป็นถึงที่สุดของโลกในด้านต่าง ๆ มาดูกันเลยว่ามีที่ไหนบ้าง

ภาพจาก www.travelonline.com
หมู่เกาะต้นปาล์ม (The Palm Islands)
เกาะแห่งนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ เพราะเป็นเกาะเทียมที่ถูกสร้างขึ้นอยู่กลางทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย ลักษณะเป็นรูปต้นปาล์ม มีใบปาล์ม 17 แนว (อ่ะ เรามาลองนับกันดู) ถึงจะเป็นเกาะแต่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมาก ๆ ทั้งร้านอาหารหลายร้อย สวนน้ำที่ใหญ่มาก ๆ สปาชื่อดัง ก็มีบริการทั้งหมด
เรื่องชอปปิงก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีห้างสรรพสินค้าที่แบรนด์เนมชั้นนำต่างเข้ามาเปิดสาขา รีสอร์ทและโรงแรมระดับ 5 ดาวก็มีให้ได้พักผ่อน แถมใครอยากมีบ้านตากอากาศสักหลัง ที่นี่ก็มีโครงการหมู่บ้านสไตล์วิลล่าชายทะเล ไว้ให้จับจอง แน่นอนว่าหรูระดับนี้ ความพิเศษที่นี่ก็คือ สำหรับผู้พักในโครงการก็มีท่าจอดเรือยอชต์ให้บริการด้วย เรียกว่าถ้าต้องติดเกาะลอยทะเล ขอติดที่นี่เลยดีกว่า สบายสุด ๆ

โรงแรมเบิร์จ อัล อาหรับ (Burj Al Arab)
เห็นที่นี่ก็รู้ได้ทันทีว่ามาถึงดูไบเรียบร้อย เพราะถูกขนานนามให้เป็นสัญลักษณ์ประจำมหานครแห่งนี้ไปแล้ว โดยเบริ์จ อัล อาหรับ มีรูปทรงเหมือนเรือใบ ตามแบบของชาวอาหรับ ทำเลที่ตั้งอยู่กลางทะเลริมชายหาดจูไมรา ทำให้ตึกนี้เหมือนเรือใบที่กำลังโลดแล่นอยู่กลางทะเลจริง ๆ
ระดับความหรูหราก็ไม่ธรรมดามาก ๆ เป็นโรงแรมระดับ 7 ดาวเลยทีเดียว ขึ้นชื่อว่าหรูที่สุดในโลกกก ถ้าใครอยากเปลี่ยนที่นอนเล่น ๆ ต้องห้ามพลาด ในส่วนของราคามีให้เลือกตั้งแต่หลักหมื่นไปถึงแสน ก็เชิญตามสะดวกทุกคนได้ ความสูงของตึกเขาก็ติดอันดับโลกอีกด้วย สูงถึง 321 เมตร มีทั้งหมด 60 ชั้น แน่นอนว่าหรูหราขนาดนี้ระบบความปลอดภัยของเขาก็เข้มงวดมาก ๆ สงวนสิทธิให้เข้าไปได้เฉพาะผู้เข้าพักเพื่อความเป็นส่วนตัวนั่นเอง การบริการต่าง ๆ ก็ครบครันคุ้มราคาแน่นอนนน

อาคารเบิร์จ คาลิฟา (Burj Khalifa)
หลายคนอาจคุ้นกับชื่อ เบิร์จ ดูไบ ก็ไม่ต้องสับสนไป เขาเปลี่ยนชื่อเพื่อเป็นเกียรติกับซีกห์ คาลิฟา ผู้ที่ให้กู้เงินจนตึกนี้สามารถสร้างสำเร็จ ใช้เวลา 6 ปี ด้วยงบประมาณ 50,000 กว่าล้านบาท ความสำคัญของที่นี่ก็คือ เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงอยู่ที่ 828 เมตร มีทั้งหมด 163 ชั้น
การออกแบบได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้ทะเลทราย สร้างเป็นรูปทรงเลขาคณิต มีฐานเป็นตัว Y ทำให้มั่นคงและแข็งแรง ไม่ต้องกลัวสั่นหวั่นไหวกันแน่นอน ภายในตึกมีสำนักงาน, ภัตตาคาร, คอนโด, สระว่ายน้ำ, สุเหร่า, หอดูดาวกลางแจ้ง เรียกว่าใช้พื้นที่คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ชั้น 124 มีจุดชมวิวแบบ 360 องศาให้ได้ขึ้นไปชมวิวสวย ๆ ของเมืองดูไบทั้งกลางวันและกลางคืนได้เลย เห็นเขาว่ากันว่าถ้าใครมาแล้วไม่ได้ขึ้นมาชมวิวที่นี่ เหมือนมาไม่ถึงนครดูไบแห่งนี้นั่นเอง
ทัวร์ทะเลทราย (Dessert Safari)
เอาใจสายลุยกันกับการนั่งรถโฟวิลที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ ตะลุยทะเลทรายอาหรับ ที่ใหญ่เป็นอับดับ 4 ของโลก บนเนินที่มีความสูงและต่ำสลับกันไป เรียกได้ว่างานนี้ทั้งชมวิวสวย ๆ กลางทะเลทรายและหวาดเสียวไปกับความมันในทุกกิโลเมตรอย่างแน่นอน เห็นแบบนี้ก็ไม่ได้ขับกันง่าย ๆ ควรมีผู้เชี่ยวชาญหรือไกด์ท้องถิ่นเป็นคนนำทางเพื่อความปลอดภัย แล้วเราก็แค่นั่งสนุกไปกับลีลาสุดผาดโผนเหมือนนั่งรถไฟเหาะนั่นเอง
จุดหมายการเดินทางนี้ก็ไปสู่แคมปิ้งกลางทะเลทราย เพื่อได้ดูพระอาทิตย์ตกในวิวสุดสวย และสัมผัสวิถีชีวิตชาวพื้นเมืองเบดูอิน สวมชุดพื้นเมืองชาวอาหรับ ได้เพนท์มือแบบอาหรับ ชมการแสดงระบำหน้าท้อง และไฮไลต์สำคัญที่เราชอบมาก ๆ กับการขี่อูฐ ได้เข้าถึงการผจญภัยในทะเลทราย แถมเปิดประสบการณ์ใหม่ อยากไปลองความแอดเวนเจอร์นี้จริง ๆ
น้ำพุเต้นระบำ (Dubai Dance Fountain)
เรื่องความอลังการต้องยกให้ที่นี่เลย เพราะน้ำพุเต้นระบำที่นี่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความยาวกว่า 270 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลสาบบุรจญ์คาลิฟา ความอลังการนี้ก็ถูกสร้างขึ้นผ่านงบประมากว่า 7,200 ล้านบาท แรงดันน้ำก็พุ่งปรี๊ดสูงเท่ากับตึก 50 ชั้นเลยทีเดียว ทำให้จะมองจากมุมไกลแค่ไหนก็เห็นได้ชัดแน่นอน ในการแสดงก็ใช้ไฟมากถึง 6,600 ดวง โปรเจคเตอร์สี 50 ตัว
ใครอยากชมการแสดงจากพื้นที่ตรงไหนก็เลือกได้ตามความสะดวกกันเลย มีการแสดงตั้งแต่ 18:00-24:00 น. ในทุก ๆ วันนั่นเอง โดยจะแสดงทุก 30 นาที รอบละ 5 นาที และแน่นอนว่าก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้ชมกันได้ฟรี ๆ เลย ต้องรีบไปจับจองมุมดี ๆ กันแล้ว
พิพิธภัณฑ์ดูไบ
ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ที่ตั้งอยู่ในป้อมปราการเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ถือว่ายาวนานมาก ๆ ทำให้มีการรวบรวมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของที่นี่ไว้หมดเลย ถึงแม้อายุจะเก่าแก่มาก แต่ก็ได้มีการบูรณะอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดในตะวันออกกลางอีกด้วย
ในการแสดงก็มีการแบ่งออกเป็นโซนมากมาย ไม่ว่าจะการค้นพบงานศิลป์ที่มีอายุหลายพันปี หรือก่อนที่ดูไบเขาจะค้าขายน้ำมัน ในอดีตก็มีการค้าขายมุกในทะเลมาก่อน ถ้าใครอยากรู้ข้อมูลแบบนี้ก็ต้องมาตามที่นี่ ในด้านอื่น ๆ ก็ยังมีอีกทั้งคุกที่เคยขังโจรสลัด หรือโซนวิถีชีวิตชาวดูไบในสมัยก่อน และมีการจัดแสดงเรือในอดีต ที่เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนต้องอยากมาเห็นของจริงว่าจะแตกต่างจากเรือในบ้านเราแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็พลาดไม่ได้เลยที่จะมาหาความรู้สนุก ๆ กันที่นี่

แพลนทริป พร้อมขนาดนี้ มาออกเดินทางกันเลยดีกว่า ช่วงนี้สายการบินเอมิเรตส์ ที่เพิ่งได้รับรางวัลในปีล่าสุดกับสายการบินที่ดีที่สุดในโลก อันดับที่ 4 ก็พร้อมพาคนไทยไปเที่ยวกันแบบฟรีวีซ่า 96 ชั่วโมงกันเลย (เราบอกเลยว่าปกติจะไปประเทศนี้ไม่ใช่เข้ากันง่าย ๆ ต้องขอวีซ่าหลายขั้นตอน) สิทธิพิเศษขนาดนี้ต้องจองกับเอมิเรตส์ภายใน 31 มีนาคมนี้เท่านั้นนะ แค่นี้ก็ได้ไปตามรอยแต่ละที่แบบครบ ๆ จบสบาย ๆ ได้เลย
สายการบินเอมิเรตส์
ราคาเริ่มต้น 16,110 บาท
จองตั้งแต่วันนี้-31 มีนาคมนี้ ที่นี่
เดินทางออกจากสุวรรณภูมิและภูเก็ต ตั้งแต่วันนี้-12 ธันวาคม 2562
