ปกติเวลาไป พระโขนง ถ้าไม่มีธุระอะไรหรือเหตุจำเป็น อาจเป็นสถานีที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสแวะไปนัก เพราะปกติถ้านึกถึงสถานีนี้ ตัวเลือกอันดับแรก ๆ ที่นึกถึงคือร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอกินาว่า Okinawa Kinjo แต่เมื่อช่วงที่ผ่านมาได้มีโอกาสผ่านไปแวะเวียน แล้วบังเอิญได้เห็นร้านกาแฟแสนน่ารักร้านหนึ่งที่มีขนาดเพียงแค่หนึ่งห้องคูหาเท่านั้น ร้านที่ว่านี้คือ Single Lane Specialty Coffee ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 69 นั่นเอง


เรื่องราวของร้านกาแฟแห่งนี้เริ่มต้นมาจากที่ คุณโอ-ธีระวัฒน์ บูรณะประสพชัย และ คุณเมย์-เมทิกา ปั้นเจริญ ได้ไปเป็นบาริสต้าที่ประเทศออสเตรเลียถึงสี่ปี ช่วงแรกก็เริ่มต้นจากการเรียนรู้เบสิคต่าง ๆ จากที่ไทยก่อน แล้วค่อยบินออกไปหาความรู้มากขึ้น พอถึงเวลาอันสมควรก็ได้กลับมาเปิดร้านที่ไทยย่านพระโขนง เพื่อตั้งใจสานความฝันของตัวเอง เอามาต่อยอดและเปิดเป็นคาเฟ่สไตล์ออสเตรเลียนในทุกวันนี้


ชื่อร้าน Single Lane มีแรงบันดาลใจมาจากตัวร้านที่เป็นห้องเดียว ชั้นเดียว และเป็นแนวยาวตอนลึกเข้าไปเหมือน Lane ถนน และคำว่า Single มาจากการเสิร์ฟกาแฟดำร้อนที่เป็น Single Origin คอยผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเรื่อย ๆ ในส่วนของชั้นบนนั้นเป็น Hostel ที่ชื่อ Shophouse 26 ส่วนภายในร้านก็มีการตกแต่งที่เรียบง่าย น่ารัก เน้นปูนเปลือยเป็นหลัก ทำให้บรรยากาศออกสบาย ๆ อบอุ่น และปลอดโปร่ง

ที่ร้านจะมีการเวียนกาแฟ Single Origin เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ กาแฟที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นของออสเตรเลีย ทั้ง Sydney และ Melbourne House Blended ที่นี่มีสองตัวหลัก ๆ เลยคือ Kenya Rmarda และ Thai ที่ผ่านการคั่วแบบกลาง ทำให้รสชาติออกมาแนวโทนฟรุ๊ตตี้นิด ๆ เหมาะสำหรับกาแฟนมร้อนเป็นหลัก กับอีกตัวเป็นเมล็ดของไทยนี่เองจากจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ที่นำมาเบลนด์เข้าด้วยกันผ่านการคั่วแบบกลาง ทำให้โทนออกมาเป็นช็อกโกแลตที่ติดกลิ่นนัทตี้นิด ๆ ตัวนี้จะเหมาะสำหรับกาแฟนมเย็น

ส่วนสำหรับคอกาแฟดำก็สามารถเลือกดื่มเป็น House Blended ตัวไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของลูกค้าเป็นหลัก รวมถึง Slow Bar ก็เช่นเดียวกัน เพราะที่ร้านจะมีกาแฟหมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา และแน่นอนจะเป็นเมล็ดกาแฟจากออสซี่เป็นหลักเช่นเดิม


ในส่วนของเครื่องดื่มที่เราได้ชิมวันนี้ เริ่มต้นด้วยที่เมนูที่ทางร้านแนะนำมาคือ Magic 3/4 (115 บาท) ที่เปรียบเสมือนเมนู Signature ของทางร้านเลยก็ว่าได้ เพราะเมนูนี้เป็นเหมือนเมนู Traditional ของเมลเบิร์น สำหรับคนไทยอาจจะไม่ค่อยคุ้นชินมากนัก รสชาติตัวนี้จะออกเข้มกว่า Piccolo นิดหน่อย ต่อกันที่ Filter Coffee (150 บาท) เป็นเมล็ดของประเทศ Ethiopia จากโรงคั่ว Market Lane ประเทศออสเตรเลีย รสชาติจะออกไปในแนว Floral มีความหวาน แต่ถ้าทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องจะมีรสชาติของบลูเบอร์รี่ที่เด่นชัดมากขึ้น เป็นอีกแก้วที่ดื่มได้ง่าย ๆ เหมาะสำหรับวันสบาย ๆ ในอากาศบ้านเรา

และสำหรับคนที่ต้องการดื่มกาแฟที่เติมความสดชื่นระหว่างวัน ทางร้านก็มีอีกหนึ่งเมนูแนะนำคือ Summer Rest (150 บาท) เป็นกาแฟ Cold Brew ที่มีการ Shake ผสมกับชาพีชแล้วก็น้ำลูกพรุนก่อนเสิร์ฟเพื่อให้ส่วนผสมทั้งหลายเข้ากัน มีความสดชื่น ดื่มง่าย หอม ได้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน


ต่อกันที่ขนมหวาน เมนูส่วนใหญ่คุณเมย์จะเป็นคนทำเองทั้งหมด และจะมีบางตัวเช่นครัวซองต์ที่รับมาจากร้าน Conkey's Bakery แบบวันต่อวัน อย่าง Plain Croissant (90 บาท) ที่ได้กินกันก็มีกลิ่นที่หอม รสชาติที่ดี แป้งบางกรุบ กินคู่กับกาแฟคือดีมากจริง ๆ Carrot Cake (110 บาท) ที่ด้านบนท็อปด้วย Mascapone Cheese ตีครีมขึ้นมาเอง มีความเปรี้ยวของครีมชีสด้านบนตัดกับความหวานของตัวเค้ก เวลากินแล้วจะได้ texture ความหนึบและความกรุบเล็ก ๆ

Lemon Cake (95 บาท) มีความหอมมากแถมรสชาติดีสุด ๆ ตัวน้ำตาล glazed ที่เคลือบอยู่ช่วยเสริมความหวานผสมกับความเปรี้ยวของเลมอนได้เป็นอย่างดี เป็นอีกจานที่อยากให้ได้ลองกันมาก ๆ

นอกจากนี้ทางร้านยังมีมุมให้เลือก Shopping กันด้วย โดยจะมีเมล็ดกาแฟจากจอมทองสำหรับกลับไป Brew เองที่บ้าน หรือเทียนไขถั่วเหลืองจาก Wax Valley ที่ส่งกลิ่นความหอมตลอดทั้งคืน ก็สามารถเลือกกลิ่นที่ชอบแล้วกลับไปจุดที่บ้านได้เลย

Soimilk Says: สำหรับใครที่เอารถส่วนตัวมาก็สามารถนำจอดรถได้ที่ W District และในส่วนของอนาคตอาจจะมีเมนูเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของคาวและของหวาน แต่ในส่วนที่เป็นกาแฟนมจะยังคงยึดเมนูนี้ตามเดิมเพราะต้องการให้คนที่ชิมได้สัมผัสกาแฟตามฉบับของออสซี่แบบดั้งเดิมจริง ๆ และอาจจะมีการสอน Workshop ความรู้เกี่ยวกับแฟมากขึ้นด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านในย่านพระโขนงที่ไม่ควรพลาด
