หลายคนอาจจะรู้จัก หนูดี-วนิษา เรซ ในภาพของผู้เชี่ยวชาญเรื่องการศึกษาและการพัฒนาตนเอง แต่อีกด้านของเธอในวันนี้คือการเข้าร่วมผลักดันให้โอกาสการศึกษาของบ้านเราเปิดกว้างกับเด็กด้อยโอกาสผ่านการทำงานร่วมกับ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ในฐานะ Friends of UNICEF
ด้วยดีกรีด้าน Family Studies ปริญญาโทด้าน Neuroscience และเรียนโปรแกรม Mind, Brain and Education มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา รวมทั้งมีโรงเรียนเป็นของตัวเอง รวมทั้งการที่เธอมักจะให้ข้อคิดเรื่องการศึกษา และแนะแนวเรื่องการใช้ชีวิต เราเลยเกิดความสงสัยอยากนั่งคุยกับเธอเพื่อร่วมค้นหาว่าการศึกษาไทยอยู่ในสภาพไหน
ในที่สุดเราก็ได้เจอกับหนูดีในบ่ายอ่อนๆ วันหนึ่งที่โรงเรียนสีขาวของเธอในซอยสุขุมวิท 26 และนี่คือมุมมองจากนักการศึกษาอย่างเธอในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมวัยชราอย่างเต็มรูปแบบภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เรากำลังจะเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร ในประเทศที่ทรัพยากรมีอยู่อย่างจำกัด และโอกาสการเข้าถึงทางการศึกษาไม่เท่าเทียมสำหรับทุกคน
ผู้ใหญ่ไม่ฟังเด็ก
"เวลาเด็กไม่พอใจอะไร ก็ไปบอกว่าเด็กมันหาเรื่อง หรือเป็นเด็กมีปัญหา"
ปัญหาของการพัฒนาประชากรรุ่นใหม่ของบ้านเราอันหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่ฟังเด็กน้อยไป อันนี้สำคัญมาก เพราะหากเราฟังเขา ก็จะทำให้พวกเราปรับตัวตามความต้องการของเขาได้ มันเป็นวิธีที่จะดึงสังคมให้หมุนต่อไปตามความต้องการของเด็กที่เจอปัญหาจริงๆ ในเวลานี้จริงๆ ไม่ใช่ตามที่ผู้ใหญ่คิดกันเองว่า อ๋อ เด็กติดยา เด็กนู่นนี่ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีเด็กที่ไม่ติดยาแต่มีปัญหาอื่นๆ อีกเยอะ มันต้องมีพื้นที่ให้เด็กวัยรุ่นเขาพูด แล้วอย่าไปบอกว่าเด็กไร้สาระ ผู้ใหญ่ต้องเลิกมีทัศนคติที่ไม่ดีกับเด็ก ว่าเวลาเด็กไม่พอใจอะไร ก็ไปบอกว่าเด็กมันหาเรื่อง หรือเป็นเด็กมีปัญหา
ครูที่ดีต้องไม่ลืมวันที่เราเคยเป็นเด็ก ซึ่งสำคัญมาก เวลาเราไปพูดตามมหาวิทยาลัย เราจะให้เด็กเขียนสิ่งที่เครียดที่สุด สิ่งที่กลัวที่สุด สิ่งที่ไม่ชอบที่สุด หรือว่าความหวังของเขาในอนาคตขึ้นมาให้เรา และสิ่งที่พบคือเด็กรุ่นนี้ใฝ่สูงมาก ซึ่งใฝ่สูงไม่ใช่ความผิดเลย เช่นหนูอยากเดินทางทั่วโลก หนูอยากทำงานในต่างประเทศ ทั้งๆ โอกาสเขาจะไปทำงานต่างประเทศมันต่ำมากเลย แต่นั่นคือความฝันของเขา
ชีวิตขมของคนรุ่นใหม่
หนูดีมองว่าถ้าความฝันน้อยแล้วมันก็จะไม่เสียใจ แต่พอเด็กฝันสูงแล้วมันไม่มีเครืองมือให้เขาไปได้ไกลขนาดนั้น เราจะมีประชากรรุ่นใหม่ที่แบบเต็มไปด้วยความ “ขม” ความรู้สึกไม่พอใจชีวิต ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เรากลัวมาก คือโลกความเป็นจริงของเด็กกับความฝันของเขามันแทบจะไม่มีโอกาสบรรจบกัน ตอนนี้เรามีโซเชียลมีเดีย เด็กเห็นดารา เห็นคนดังแชร์ชีวิตอย่างนั้น กระเป๋าแบรนด์เนมอย่างนี้ ไปเมืองนอกอย่างนั้นอย่างนี้ เด็กมีภาพจริงๆ ว่า หนูจะต้องได้เดินทาง มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีเด็กปี 1 บอกเราว่า หนูต้องเรียนจบตอนปี 4 ได้เงินเดือนประมาณ 2 หมื่นบาทและได้ไปต่างประเทศปีละ 2 ครั้ง ซึ่งเราเป็นผู้ใหญ่เราคำนวณทันทีเลยว่าแบบมันเป็นไปไม่ได้ ตัวเลขน้องมันไม่ใช่ตัวเลขบนความเป็นจริง แต่นี่คือเด็กอายุ 18 คนหนึ่งที่เขาเสพสื่ออย่างหนึ่งแล้วชีวิตจริงเขาเป็นอย่างหนึ่ง แล้วเขาเอามันมาบรรจบกันไม่ได้ซะที
เพราะฉะนั้นหนูดีมองเห็นว่าเป็นปัญหาก็คือ ผู้ใหญ่ต้องฟังเด็ก ฟังแล้วต้องคิดจริงๆ ว่าตอนเราอายุ 18 เราคิดได้แบบนี้ แล้วเราเป็นผู้ใหญ่ เราช่วยเขาได้แค่ไหน อย่างตอนนี้สิ่งที่หนูดีพยายามจะทำคือคลิปสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก เพราะมีเด็กถามเรามาเยอะว่า หนูอยากไปเรียน Harvard แบบพี่หนูดีต้องทำยังไง ซึ่งหลายครั้งเราพบว่า มีเด็กไทยเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ในอเมริกาไม่ได้เพราะภาษาไม่ได้ทั้งที่น้องสมองถึง ความรู้เพียบ ตอนนี้หนูดีก็เลยทดลองทำคลิปสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก แต่จะไม่ใช่แค่สอนภาษา เราจะสอนให้พูดภาษาอังกฤษแบบคนอเมริกันด้วยวิธีคิดแบบคนอเมริกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าความคิดนี้ดีหรือไม่ดี มันเป็นแค่วิธีการ
ทรัพยากรและโอกาส
"ระบบการสอบทำให้คนที่เก่งอยู่แล้ว เก่งยิ่งขึ้น และทำให้คนที่ไม่เก่ง ชีวิตก็แย่ลงๆ"
ในโลกที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกคนควรมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกัน แต่เราไม่ได้อยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ ทรัพยากรก็มีจำกัด เพราะฉะนั้นโรงเรียนดีที่สุด พ่อแม่มีปัญญาส่งได้กี่คนกัน ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาด้านการศึกษาที่ Harvard พูดไว้ดีมากว่า ลองคิดดูเรามีที่นั่ง 100 ที่ แต่มีเด็ก 1,000 คนมาสอบ แล้วระหว่างเด็ก 100 คนที่สอบผ่าน กับเด็ก 900 คนที่สอบไม่ผ่าน ใครต้องการความช่วยเหลือด้านการศึกษามากกว่ากัน คำตอบก็คือเด็ก 900 คนต้องการความช่วยเหลือมากกว่าเด็ก 100 คนที่สอบยังไงก็ผ่าน
อาจารย์ทำให้เราเห็นว่า ระบบการสอบทำให้คนที่เก่งอยู่แล้ว เก่งยิ่งขึ้น และทำให้คนที่ไม่เก่ง ชีวิตก็แย่ลงๆ เพราะไม่สามารถได้รับการช่วยเหลืออะไรได้เลย เป็นระบบแพ้คัดออก ทั้งๆ ที่เด็กกลุ่มนี้อาจจะมีความสามารถด้านอื่นๆ เช่นด้านดนตรี กีฬา หรือความสามารถด้านการเรียน แต่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนพอ สุดท้ายเด็กเหล่านี้ก็จะถูกทิ้งไปจากระบบ อาจจะทำให้เด็กต้องไปทำงาน ใช้ชีวิตไปวันๆ หรือหลงผิดในที่สุด
อีกปัญหาคือจะมีคนที่สอบเก่ง สอบได้ตลอด แล้วพวกนี้จะกลายเป็นกลุ่มที่เก่งที่สุดของสังคม เป็นคนตัดสินนโยบาย เพราะฉะนั้นเขาจะยิ่งตัดสินนโยบายให้คนอย่างพวกเขายิ่งได้โอกาส เพราะเขาจะคิดว่ากว่าจะมาถึงตรงนีได้ เขาพยายามมาเยอะ เรียนหนัก ตั้งใจ ถึงได้ ทำให้มีระบบคนที่ไม่ตั้งใจ ไม่เก่ง สอบก็ไม่ได้ มีทั้งที่ไม่ตั้งใจ ไม่เก่งจริง หรือเก่ง แต่ไม่ได้รับการฝึกฝน หรือโอกาสน้อยก็ทำไม่ได้ เรามองว่าระบบโดยโครงสร้างมันมีความผิดปกติ แล้วมันก็ยากที่จะใช้ชีวิตปกติในโครงสร้างที่ผิดปกติ
งบทหาร vs งบการศึกษา
หนูดีเคยเปรียบเทียบเงินภาษีที่เราจ่ายไปต่อปีมันพอจะนำมาพัฒนาการศึกษาไทยไหม ก็พบว่าเพียงพอ เพียงแต่คุณต้องฉลาดกับการจัดสรรงบประมาณ อย่างประเทศคอสตาริกาที่ตัดงบทหารหมดเลยหลังจากที่เขาตัดสินใจว่าประเทศเขาไม่มีความเสี่ยงเรื่องสงครามอีกแล้ว เขาก็ตัดงบการทหารทั้งหมดแล้วก็ทุ่มงบไปกับเรื่องการศึกษากับเรื่องดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งรู้สึกว่าตอนนี้เขาจะใช้พลังงานสะอาดเกือบ 100% ในขณะที่ในปี 2001 ตอนนั้นหนูดีเรียนอยู่ปี 3 รัฐบาลอเมริกันตัดสินใจเข้าสู่สงคราม แล้วกลายเป็นว่าปีนั้น งบถูกเอาไปใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ทำให้ค่าเทอมเพิ่ม 25%
เท่ากับพ่อแม่ที่ประเมินทุนการศึกษาลูกมาเท่าไหร่ก็คือพังหมดเลย ก็เลยเกิดคำถามในปีนั้นว่า แทนที่จะให้ทุนการศึกษาเด็กกลับเอาเงินทำสงครามนอกประเทศ แล้วเราก็เพิ่งอ่านใครสักคนแชร์มาว่า วิธีการจะทำลายประเทศนึง คุณไม่ต้องทำไรมากเลย แค่ตัดงบการศึกษาก็เท่ากับคุณทำลายประเทศนั้นแล้ว ซึ่งตรงกับที่เราคิด เพราะงบอะไรก็ไม่สำคัญเท่างบการศึกษา
ในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างเรา อย่างยูนิเซฟ คนทำงานด้านการศึกษาที่เรียกว่าเป็นล็อบบี้ยิสต์ เป็นคนทำงานกับรัฐบาลหรืออะไรก็ตาม เราก็ต้องแข่งขันช่วงชิงแย่งเงินก้อนนี้มาเป็นทุนการศึกษาให้เด็กได้มีโอกาสมากขึ้น แต่เพราะทรัพยากรมันจำกัด ทำให้บริหารจัดการได้จำกัด แม้แต่มนุษย์เงินเดือนเอง หาเงินได้เงินก้อนหนึ่ง เราก็ต้องมาบริหารกับชีวิตประจำวันให้ได้เหมือนกัน
สร้างหรือทำลาย?
"เราพยายามจะสร้างคนๆ หนึ่งที่เป็น “เป็ด” คือเก่งทุกอย่าง แต่ไม่ต้องเก่งมาก เอาแค่พอทำได้ ... สุดท้ายเราก็เลยได้สังคมที่มีคนที่บอกว่า พี่คะ หนูไม่รู้หนูชอบอะไร”
หนูดีมองว่าระบบการศึกษาปัจจุบันมันทำลายมนุษย์อยู่ไม่น้อยเลย ล่าสุดมีงานวิจัยไปตามหา valedictorian หรือคนที่เรียนเก่งที่สุดของชั้นมัธยมฯ และเป็นคนขึ้นพูดวันเรียนจบ หลังจากเรียนจบแล้วไปเรียนมหาวิทยาลัย เข้าทำงานแล้วชีวิตเขาเป็นยังไงบ้าง พูดง่ายๆ หาดูว่ากลายเป็นคนยิ่งใหญ่แค่ไหน สิ่งที่น่าตกใจมากคือ คนพวกนี้เรียนจบสูงเป็นลูกจ้างเงินเดือนแพง แต่ไม่เคยมีใครที่ออกมาทำอะไรที่ใหญ่ในระดับเปลี่ยนแปลงสังคมเลย คำถามคือ ทำไมคนที่เรียนเก่งที่สุด กลายเป็นมีมูลค่าไม่ค่อยสูงในสังคม เขาก็ไปดูว่า อ๋อ เพราะระบบการศึกษา เราต้องการให้คนๆ หนึ่งเก่งตั้ง 7-8 อย่าง
แต่ว่าคนๆ หนึ่งจะสร้างธุรกิจหรือทำอะไรให้มันยิ่งใหญ่ คนพวกนี้จะต้องชอบอยู่เรื่องเดียว เป็นบ้าเป็นหลังสนใจอยู่เรื่องเดียว คือมันไม่ใช่แค่ระดับ passion (หลงใหล) มันต้องระดับ obsession (หมกมุ่น) ถ้าฉันชอบดนตรี ฉันชอบวาดรูปฉันก็จะทำอย่างนี้อย่างเดียว แต่ถ้าเด็กพวกนี้ถ้ามาอยู่ในระบบการศึกษา เช่นคนนึงชอบแต่เป็นศิลปิน ลองนึกภาพแวนโก๊ะมาอยู่ในสมัยนี้ ครูจะชอบบอกว่าเธอห้ามวาดรูปตลอดเวลา เธอต้องเรียนคณิต เธอต้องเรียนภาษาไทย เธอต้องเรียนภาษาอังกฤษให้สอบผ่าน เท่ากับว่าเราพยายามจะสร้างคนๆ หนึ่งที่เป็น “เป็ด” คือเก่งทุกอย่าง แต่ไม่ต้องเก่งมาก เอาแค่พอทำได้ ระบบการศึกษาก็เลยพยายามจะดึงคนๆ หนึ่งจากชอบมากๆ เรื่องหนึ่งมาให้ต้องพยายามในทุกอย่างเพื่อจะสอบผ่านได้ สุดท้ายเราก็เลยได้สังคมที่มีคนที่บอกว่า “พี่คะ หนูไม่รู้หนูชอบอะไร” “พี่คะหนูค้นหาตัวเองไม่เจอ”
บางทีการทำหลายๆ อย่างมันไม่ใช่การค้นหาตัวเองเสมอไป แต่คือการบังคับคนๆ หนึ่งว่าห้ามชอบเรื่องเดียว แต่ต้องทำให้ได้อย่างต่ำปานกลางทุกเรื่อง แล้วเราก็จะต้องมีคำถามของทุกยุคเลยว่า เรียนไปไม่เห็นได้ใช้ ชอบก็ไม่ชอบ ทำไมต้องเรียน เพราะระบบมันเป็นอย่างนี้ ทำให้เรามานั่งตั้งคำถามว่าระบบที่บังคับให้เด็กเป็นเป็ดนี่มันดีจริงๆ หรือเปล่า
นวัตกรรมกับความเจริญของประเทศ
เราได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Entrepreneurial Strengths Finder เขาพูดถึงประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมาก เขาพูดว่าเวลาที่ประเทศพัง ระบบๆ หนึ่งพัง มันมักจะไม่ได้มาจากความเก่งความไม่เก่ง ทักษะที่ดีหรือไม่ดี แต่มาจากความเข้าใจที่ผิดอันหนึ่ง และความเชื่อที่ผิดจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดในระดับผู้นำประเทศ ผู้นำองค์กร แล้วก็นำไปสู่ความพังในทุกๆ รูปแบบ แล้วอเมริกาก็มาจากความเข้าใจที่ผิดอันนึงก็คือเชื่อว่า innovation จะเป็นตัวที่ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า แล้วอเมริกาก็ทุ่มทุนมหาศาลในการมีหลักสูตรการสร้างนวัตกรรม และสอนให้เด็กรุ่นใหม่เป็นผู้สร้างนวัตกรรม ด้วยความเชื่อว่านวัตกรรมจะทำให้ประเทศรุ่งเรือง
แต่สิ่งที่นักเขียนคนนี้มองก็คือ นวัตกรรมดีแต่ไม่ได้ทำให้สังคมรุ่งเรือง สิ่งที่ทำให้ประเทศรุ่งเรืองคือความสามารถในการนำนวัตกรรมมาทำเป็นธุรกิจมาแล้วขายได้ ซึ่งอเมริกาแทบไม่ทุ่มเทในการสร้างมนุษย์ที่มีความสามารถในการทำธุรกิจสักเท่าไหร่ในความคิดเห็นของเขา ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่หนูดีประสบมาคือเราจะถูกสอนตลอดเลยว่า เรียนให้ได้เกรดให้มากที่สุด แล้วออกไปขอเงินเดือนให้มากที่สุด ซึ่งตัวบรรทัดฐานของรุ่นที่หนูดีจบก็คือต้องต่อรองเงินเดือนให้ได้ปีละ 1 แสนเหรียญ รวมทั้งประกันสุขภาพ มันจะมีสูตรสำเร็จเลยค่ะ ต่อรองเงินเดือนอย่างนี้ ประกันสุขภาพอย่างนี้ เพราะว่าเขาฝึกเราให้เป็นลูกจ้างเงินเดือนแพง แต่เขาไม่ได้ฝึกเราออกมาเพื่อจะทำธุรกิจ หรือมีลูกจ้าง คือพูดง่ายๆว่าให้เรารับความเสี่ยงให้น้อยที่สุดด้วยการเป็นลูกจ้างเงินเดือนแพง แต่ไม่ค่อยชอบสร้างคนให้ไปรับความเสี่ยงในการตั้งต้นเป็นเจ้าของกิจการหรือ startup
หานักสร้างธุรกิจยากกว่าหาอัจฉริยะ
หนังสือเล่มนี้เสนออีกประเด็นว่า เขาได้ทำงานวิจัยแล้วก็พบว่าทักษะการเป็นคนที่สร้างธุรกิจได้มันหาได้น้อย เขามีความเชื่อว่าต้อง born to be เหมือนเกิดมาเพื่อ มีความสามารถพิเศษทางดนตรี หรือกีฬา หรือมีไอคิวสูง และในอเมริกา ใน 1000 คนจะมีเด็กที่ไอคิวสูงเป็นพิเศษ 20 คน ซึ่งมันสามารถวัดได้ และระบบมันถูกสร้างมาเพื่อหาเด็กไอคิวสูง คืออยู่ในอเมริกาไม่ว่าคุณจะยากจนแค่ไหน อยู่ในที่มุมไหนของประเทศ ถ้ามีไอคิวสูง ระบบการวัดไอคิวจะหาเด็กคนนั้นจนเจอ และให้ทุนเด็กคนนั้น เอามาเข้าระบบ เพื่อสร้างให้เป็นลูกจ้างเงินเดือนแพง
ในขณะที่ถ้าเด็กคนหนึ่งมีศักยภาพในการเป็นนักสร้างธุรกิจ เหมือน บิล เกตส์ เหมือน มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จากงานวิจัยของเขาพบว่าใน 1,000 คนจะมีเด็กมีทักษะนี้ติดตัวมาแต่เกิดแค่ 5 คน เท่ากับว่าหาได้น้อยยิ่งกว่าเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางดนตรีหรือไอคิวซะอีก แต่เด็ก 5 คนนี้ ซึ่งเขามี 10 ทักษะเลยนะคะว่าต้องมี 10 อันนี้ เช่นความสามารถในการคิดต้นทุนกำไร หาหุ้นส่วน สื่อสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ และใน 10 ทักษะนี้ถ้ามีติดตัวมา อเมริกาไม่มีระบบไปตามหาเด็กพวกนี้ แล้วก็ไม่มีระบบสอนเด็กให้สร้างธุรกิจด้วย ทั้งๆ ที่สิ่งที่ทำให้อเมริการุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็คือคนพวกนี้
ธุรกิจตายมากกว่าเกิด
ในปัจจุบัน อเมริกามีธุรกิจใหม่เกิดขึ้นปีละ 4 แสนธุรกิจ แต่มีธุรกิจที่ตายปีละ 4.7 แสนธุรกิจ นั่นหมายความว่ามีตายมากกว่าเกิด และระบบมันถึงได้ล่มอย่างทุกวันนี้ แล้วก็ที่น่าสนใจคือ ในจำนวนธุรกิจที่มีอยู่ 26 ล้านธุรกิจ แต่พอไปดูจริงๆ 20 ล้าน ไม่แอคทีฟเลย ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ ไม่มีลูกจ้าง คือเป็นธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเหตุผลอะไรไม่รู้ มีแค่ 6 ล้านที่แอคทีฟ และมากกว่าครึ่งคือ 3 ล้านเป็นธุรกิจที่สามีภรรยาทำด้วยกัน ไม่มีลูกจ้างเลย ซึ่งเท่ากับว่าจำนวนธุรกิจที่เป็นโครงสร้างหลัก กระดูกสันหลังของประเทศมีน้อยกว่าที่เราคิด แถมยังตายมากกว่าเกิด เขาก็เลยเสนอความคิดว่าประเทศๆ หนึ่งจะรอดได้ถ้าเราสร้างเด็กรุ่นใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกจ้างเงินเดือนแพงทั่วไป แต่เป็นคนที่มีความสามารถในการเอานวัตกรรมมาสร้างเป็นธุรกิจแล้วขายได้
เรียนเพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ
"ในระบบที่มันเพอร์เฟคที่สุดก็คือว่า ถ้าใครสนใจอะไรก็ไปให้สุดในทางนั้นเลย"
เรามองว่าประเทศหนึ่งต้องให้มูลค่าของอาชีพที่มันมีความหมายทางเศรษฐกิจของประเทศจริงๆ เช่น เราควรทุ่มทุนในการสร้างแพทย์ที่ดี เพราะนั่นเป็นความมั่นคงประเภทหนึ่ง แต่ไม่ใช่บอกว่าเด็กเรียนเก่งทุกคนต้องสอบเข้าแพทย์ให้ได้ เด็กเรียนเก่งจำนวนมากควรจะมองตัวเลือกในการเรียนอื่นๆ ได้ เช่นการเลือกเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนธุรกิจ แต่เรียนให้เป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะว่าในสายเป็นลูกจ้างแล้วเรียน business กับในสายที่ออกไปเพื่อทำธุรกิจตัวเองมันคิดคนละแนวเลย แล้วก็เป็นสิ่งที่นักการศึกษาในหลายๆ ประเทศคุยกันว่าจะทำยังไงถึงจะได้ระบบที่ดีกว่านี้
ในหนังสือ Entrepreneurial Strengths Finder เขาก็บอกว่าให้ทุกคนลองทำข้อสอบเหมือนเด็กมัธยมฯ เด็กมหาวิทยาลัย ว่าคุณเป็น 5 คนใน 1,000 รึเปล่า ถ้าบังเอิญคุณเป็น 5 ใน 1,000 ให้แยกออกมาจากโครงสร้างหลักของสังคมเลย ให้มีโรงเรียนพิเศษ เรียนรู้เรื่องการทำสตาร์ทอัพเท่านั้น ใช้เวลาเรียนแค่ครึ่งเดียว นอกนั้นคือออกไปฝังตัวในธุรกิจจริงๆ เพื่อเรียนรู้ แล้วก็จ่ายเงินให้เด็กด้วย เพราะเด็กพวกนี้มันจะคิดเรื่องเงินตลอดเวลา คือเป็นมนุษย์ที่เกิดมาเพื่อคิดต้นทุน กำไร เพราะฉะนั้นเขาจะคิดว่าเวลาของเขามันเป็นต้นทุน เพราะฉะนั้น หนูดีก็เลยมองว่าในระบบที่มันเพอร์เฟคที่สุดก็คือว่า ถ้าใครสนใจอะไรก็ไปให้สุดในทางนั้นเลย
อ่าน-เขียนเร็วไม่ได้ฉลาดเสมอไป
"การที่เด็กคนนั้นอ่านออกเขียนได้เร็ว ไม่ได้พิสูจน์ว่าเด็กคนนั้นเป็นอัจฉริยะ มันอาจจะเป็นความกดดันที่เด็กคนหนึ่งไม่มีทางไป โดนพ่อแม่บังคับให้ยังไงก็ต้องทำ"
หลายคนจะเข้าใจว่า ยิ่งอ่านออกเขียนได้อายุน้อยเท่าไหร่ ยิ่งฉลาดเยอะ ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่ผิดมากๆ เพราะความเร็วไม่ได้เทียบเท่ากับความฉลาด ถ้ามนุษย์คนหนึ่งจะอ่านออกเขียนได้ การที่เด็กคนนั้นอ่านออกเขียนได้เร็ว ไม่ได้พิสูจน์ว่าเด็กคนนั้นเป็นอัจฉริยะ มันอาจจะเป็นความกดดันที่เด็กคนหนึ่งไม่มีทางไป โดนพ่อแม่บังคับให้ยังไงก็ต้องทำ ซึ่งเราสามารถกดดันเด็กมากแค่ไหนก็ได้ในวัยอนุบาล เพราะเด็กไม่มีตัวเลือก ไม่ได้หมายความว่าเด็กคนนั้นเป็นอัจฉริยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผิดกันมาตลอดในสังคมไทย
อีกความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับความสำเร็จ ยิ่งทำได้เร็ว จะยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตเยอะ เช่น อ่านออกเขียนได้เร็ว จบมัธยมฯ ด้วยอายุน้อยมาก เข้ามหาวิทยาลัยยิ่งเร็วยิ่งดี เรียนจบยิ่งเร็วยิ่งดี ไม่มีความจำเป็นอย่างนั้นเลย เพราะว่าคนที่ทำงานไปแล้วสัก 10 ปี จะรู้ว่า 1 ปีที่เรียนจบเร็วขึ้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยในชีวิตการทำงาน แต่ว่า 1 ปีที่ได้อยู่กับเพื่อน ได้อยู่ด้วยกันในมหาวิทยาลัย มีประสบการณ์ตรงนั้นไว้จดจำครบ 4 ปี มันมีคุณค่ามากกว่ารีบเรียนจบออกมา ยกเว้นว่ามีปัญหาการเงิน อันนั้นก็ไม่ว่ากัน รีบเรียนจบก็มารับภาระทางบ้าน
พ่อแม่ทำร้ายลูก
หนูดีสนใจรายงานของยูนิเซฟที่ทำ infographic พ่อแม่ไทยกี่เปอร์เซนต์ ทำร้ายร่างกายลูก กี่เปอร์เซนต์ ที่ดุว่าลูก แล้วพอมารวมกัน 2 อันเป็นคอมโบมันเกินครึ่งอะ กลายเป็นว่าพอเอาประเด็นนี้ไปจัดรายการวิทยที่ MET 107 กลายเป็นหัวข้อฮิตที่สุดในหลายๆ หัวข้อที่ผ่านมาเลย คนโทรเข้ามาแบบสายไหม้จนต้องจัดซ้ำอีกวัน มีผู้หญิงคนหนึ่งเอาไปแชร์ในทวิตเตอร์ไม่รู้กี่ทวีตเลยแบบ ฉันกินยาต้านโรคซึมเศร้าอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะแม่ฉันกระทืบ
ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นประเด็นใหญ่มากในสังคมไทย แต่ไม่ค่อยมีสื่อเผยแพร่ออกมาว่าเด็กไทยที่โดนพ่อแม่ทำร้ายแล้วโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคงได้รับผลกระทบ มีผลต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือเป็นพวก first jobber ที่ยังคงรับผลกระทบจากการที่โดนพ่อแม่ทำร้ายด้วยการเลี้ยงดูที่ใช้การขู่ หรือมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องการเรียนเช่นพ่อแม่อยากให้เรียนแบบนี้ แต่ตัวน้องอยากเรียนอย่างอื่น
ปัญหาของพ่อแม่ในยุคปัจจุบันที่ใหญ่ที่สุดก็คือว่า เขาเข้ามาสู่โลกของการเป็นพ่อแม่โดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว มันต้องเจออะไรบ้าง พูดง่ายๆ เหมือนเราทุกคนโตมาด้วยความคิดว่า วันหนึ่งเราต้องแต่งงาน มีครอบครัว แต่พอแต่งมาจริงๆ อ้าว มันไม่ใช่แบบที่คิด มันไม่เห็นสวยหรู แล้วนี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนอกหักในชีวิตแต่งงาน มีการหย่าร้าง การมีลูกก็เหมือนกัน มันเป็นสเต็ปหนึ่งของชีวิต เป็นโซ่ทองคล้องใจหรือเป็นนู่นเป็นนี่ แต่ไม่ได้ดูเนื้อหาของการเลี้ยงลูกว่ามีอะไรบ้าง
เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยากให้ข้อมูลการมีลูกจริงๆ ว่าต้องเจออะไรในสื่อให้มากที่สุด ก่อนที่คนจะตัดสินใจมีลูก เพื่อให้เราไม่ต้องสร้าง generation พ่อแม่ที่เลี้ยงไม่เป็น เลี้ยงด้วยความเครียด ด้วยความกดดัน ไม่มีความสุข ด้วยความไม่สนุก และไม่มีความสุข เพราฉะนั้นสิ่งที่หนูดีอยากบอกคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีลูกว่า ช่วยคุยกับคนที่เขามีลูกจริงๆ ว่าเขาต้องเจออะไรบ้าง และเขาแนะนำยังไง
การมีลูกคือรสนิยม
อย่างตัวหนูดีเอง ซึ่งบอกได้เลยว่าตัวเองเรียนมาเรื่องเด็ก และตัดสินใจส่วนตัวตั้งแต่อายุประมาณ 19 ว่าจะไม่มีลูก เพราะเห็นว่าต้องเจออะไรแบบจริงจังมาก เช่นปัญหาเด็กช่วงอายุเท่านี้เท่านั้น สิ่งที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องเจอ เราก็ยังคิดว่า ถ้าไปเรียนวิชาอื่น ไปเรียนสายอาชีพอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเด็ก หนูดีก็จะเหมือนมนุษย์ทั่วไปก็คือว่า วันหนึ่งก็แต่งงาน แล้วเดี๋ยววันหนึ้งก็มีลูก แล้วก็ไปเจอว่า อ้าว การเลี้ยงเด็กมันไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย มันไม่มีใครบอกมาก่อน
ยุคที่หนูดีเรียนในอเมริกา มันจะมีความกดดันต่อผู้หญิงมากว่าการที่เธอไม่มีลูก เป็นผู้หญิงเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่การศึกษาสูง อย่างหนูดีก็จะโดนถามตลอดเลยว่า จบฮาร์วาร์ดไม่อยากมีลูกเหรอจะได้สร้างเด็กมีคุณภาพอีกคนหนึ่ง ประเด็นคือว่ามันไม่เกี่ยวว่าเราจะจบอะไรไม่จบอะไรแต่มันเกี่ยวกับว่าการมีลูกมันเป็นเรื่องรสนิยมการใช้ชีวิต มันโยงกับเรื่องสิทธิสตรีคือผู้หญิงไม่ควรถูกทำให้รู้สึกผิดถ้าเราจะไม่มีลูก มันควรเป็นทางเลือกในชีวิตผู้หญิงได้ แล้วตอนนั้นก็มีเปลี่ยนศัพท์ที่ชอบมาก เมื่อก่อนชีวิตแต่งงานที่ไม่มีลูกเขาจะเรียน childless marriage ก็คือชีวิตแต่งงานที่ลบลูกออกไป แต่ยุคเราเปลี่ยนศัพท์ว่าเป็น child free marriage คือชีวิตแต่งงานที่ปราศจากภาระของการมีบุตร เพราะฉะนั้นอยากให้คนรุ่นใหม่มองว่าการไม่มีลูกเป็นตัวเลือกอันหนึ่งได้ หรือมีชีวิตแต่งงานที่ไม่ก็ไม่ควรถูกมองว่าเสียหายเสมอไป
ไม่มีลูกแล้วใครจะเลี้ยง?
ตอนเราแชร์ความคิดนี้ออกไปในรายการวิทยุ MET 107 ที่จัดกับคุณปูเป้ (ภาธีตา กันตามะระ) ก็จะมีประเด็นตามมาเลยว่า อ้าว แล้วใครจะเลี้ยงเราตอนแก่ แต่คำถามคือ แล้วทำไมต้องมีลูกมาเลี้ยง? แล้วถ้าเกิดลูกมันไม่อยากเลี้ยงล่ะ? แล้วถามตัวเองตอนนี้ว่าคุณเลี้ยงพ่อแม่สักแค่ไหน บางคนยังต้องขอเงินพ่อแม่ทุกเดือนด้วยซ้ำเพราะเงินเดือนไม่พอมาผ่อนบ้านผ่อนรถแล้วก็ภาษีสังคม เพราะฉะนั้นมันก็ต้องปรับโครงสร้างทั้งหมดเลยว่ามนุษย์ทุกคนต้องเตรียมตัวเพื่อการเกษียณของตัวเองเป็นการเกษียณแบบไม่มีบุตร ซึ่งทำยังไงตัวอย่างมีเยอะแยะมากมาย ในญี่ปุ่นเขาทำเรื่องนี้มา 30 ปีแล้วค่ะ แล้วเขาเข้าสู้ภาวะสังคมคนชราโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ซึ่งประเทศไทยน่าจะเข้าสู่ภาวะสังคมคนชราโดยสมบูรณ์ 3-5 ปีข้างหน้า
เตรียมพร้อมรับสังคมสูงอายุ
อันนี้พูดในเชิงมหภาคเลยว่า อันดับแรกคือพวกหนูๆ ต้องทำความเข้าใจว่า หนูๆ ต้องหาเลี้ยงคนมีอายุ เมื่อก่อนจะเป็นตัวเลขเด็กไทย 6 คน หาเลี้ยงคนแก่ 1 คน ซึ่งก็คือเงินภาษีที่ต้องจัดสรรไปเลี้ยงดูคนชราในประเทศ แต่เรากำลังจะเข้ายุคที่เด็กไทย 5 คน 4 คน หรือ 2 คน หาเลี้ยงคนแก่ 1 คน เท่ากับว่าหนูจะโดนหักเงินเดือนไปเยอะขึ้นในการเลี้ยงคนรุ่นแก่กว่า แล้วคนรุ่นที่พวกหนูๆ ต้องเลี้ยงก็สุขภาพไม่ดีด้วย คือเด็กรุ่นใหม่สุขภาพจะดีกว่าเพระาว่าความรู้ทางการแพทย์มากขึ้น มีกินคลีนนู่นนี่ แต่รุ่นที่กำลังจะแก่เนี่ยไม่ได้กินคลีน หรือว่าสูบบุหรี่กันเต็มที่ ทำให้ภาระเรื่องของการแพทย์ หรือบ้านพักคนชราก็จะค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นนี้จะต้องฉลาดและเก่งมาก เพราะจะต้องเตรียมเงินเกษียณของตัวเองและอีกส่วนหนึ่งจะต้องถูกหักมาให้คนรุ่นเก่าด้วย
เก็บออมตั้งแต่เดือนแรก
การเก็บเงินเพื่อการเกษียณอายุเนี่ยจริงๆ ต้องกันไว้ตั้งแต่เงินเดือนเดือนแรกเลย อย่างในประเทศญี่ปุ่นเขากันไว้ว่า พอเริ่มทำงานอายุ 20 ปี เขาหักเงินเป็นค่าเตรียมเกษียณไว้เลย แล้วก็หักไปเรื่อยๆ จนอายุ 50 หรือ 60 ปีก็จะกลับไปให้คุณ ส่วนเราเองก็ต้องดูว่าเก็บเงินได้ถูกต้องไหม เราลงทุนในอะไรที่สามารถเลี้ยงดูเราในวัยชราได้ไหม ซึ่งมันมีหลายผลลิตภัณฑ์ทางการเงินซึ่งเราเลือกได้ ทั้งทรัพย์สิน อสังหาฯ พันธบัตรเพื่อให้มันตอบโจทย์ในยุคของเรา โดยไม่ต้องคาดหวังว่าจะต้องรอประกันสังคม
ความมั่นคงจอมปลอม
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ คุณต้องมีความมั่นคงทางการเงินเป็นเบื้องต้น เราโตมาในยุคที่เพื่อนอเมริกันโดนไล่ออกจากงานอย่างมโหฬารมาก เพราะฉะนั้นคนอเมริกันที่ถูกสอนมาว่าต้องรับเงินเดือนสูงและคิดว่านั่นคือความมั่นคง เขาก็จะมีคำหนึ่งที่มันผุดขึ้นมาก็คือ false security คือความมั่นคงจอมปลอม ที่เกิดจากการเป็นลูกจ้างเงินเดือนสูง แต่ตอนนี้ไล่ออก กลายเป็นทุกคนต้องเอาตัวรอดให้มากที่สุด ฉะนั้นในทุกสถานการณ์จะลงทุนทำธุรกิจตัวเอง หรือจะรับเงินเดือน ก็มาสู่จุดสมดุลว่า ต้องฉลาดเรื่องการเงินตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงิน การใช้จ่ายไม่เกินตัว การลงทุนอย่างฉลาดในระยะยาว
หัดเข้าตลาดหลักทรัพย์
เราอยากแนะนำว่าทุกคนควรไปนั่งเรียนห้องเรียนฟรีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่รัชดาภิเษก มีฟรีแทบทุกเดือนแต่คนไทยแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ ขอให้ไปที่ investory ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์การเงิน แล้วจะมีมุม Check and Shock ที่สามารถเข้าไปเช็คได้เลยว่า คุณจะเกษียณรอดหรือไม่รอดด้วยเงินเก็บในปัจจุบัน พอเช็คเสร็จก็คือรู้เลยว่าไม่รอดแน่ๆ เราไม่มีทางหาสูตรสำเร็จทางการเงินให้กับชีวิตทุกคนว่าควรเป็นยังไง เพราะการรับความเสี่ยงมันไม่เท่ากัน มันก็มาสู่จุดที่ว่าทุกคนต้องฉลาดเรื่องการเงิน เพราะสุดท้ายแล้ว นี่คือสิ่งที่ใครก็ขโมยไปจากเราไม่ได้
"ทุกคนต้องฉลาดเรื่องการเงิน เพราะสุดท้ายแล้ว นี่คือสิ่งที่ใครก็ขโมยไปจากเราไม่ได้"
ธุรกิจรับสังคมคนชรา
เวลาพูดถึง “สังคมสูงอายุ” แน่นอนประเทศไทยมันเข้าสู่ระบบนั้นแล้ว แต่หนูดีจะมองในอีกมุมมากกว่า เช่น เด็กรุ่นใหม่อาจจะมองหาลู่ทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนชรา ซึ่งเป็นธุรกิจที่คนในรุ่นพวกหนูดี ไม่เคยมอง เช่นธุรกิจกายภาพบำบัดสำหรับคนชรา หรือว่าทำธุรกิจอาหารสุขภาพ อย่างเพื่อนอเมริกันของหนูดีอีกคนก็ลุงทุนใน real estate สำหรับให้คนชราที่มีภาวะสมองเสื่อมมาอยู่เท่านั้น หรือล่าสุดในญี่ปุ่นจะมีธุรกิจแบบปลูกผักในอาคาร แบบที่เราเรียกว่า sun free/soil free คือไม่ใช้แสงอาทิตย์ไม่ใช้ดินเลย แล้วเก็บเกี่ยวได้วันละ 1 หมื่นต้น แต่เขาปลูกแบบผักโพแทสเซียมต่ำ ไฮโดรโปนิค สำหรับผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะ ซึ่งมันเป็นธุรกิจที่รุ่นเราไม่มีวันจะฝันไปถึงเลยว่าใครจะลุกขึ้นทำ แต่รุ่นนี้เขาคิด แล้วโอกาสในการทำธุรกิจสำหรับคนชราก็ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไปนะ เพราะคนชราก็มีหลายแบบ เช่นคนชราที่ยังแอคทีฟชอบเดินทาง ก็สามารถมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้
จะมีไอดอลต้องดูตัวเอง
หนูดีมองว่าการมีไอดอลเพื่อที่จะมีชีวิตแบบเขาก็จะเป็นอะไรที่สุ่มเสียงนิดหน่อย เพราะการมีไอดอลอาจจะไม่ตอบโจทย์ในชีวิตจริงๆ ของเราก็ได้ เราควรจะมองว่าชีวิตจริงของเรา ต้องเลี้ยงดูใคร ตัวเอง หรือพ่อแม่ด้วยไหม ถ้ามีลูกตอนอายุน้อย เราสามารถที่จะเลี้ยงลูกเราได้ไหม และถ้าเราทำหน้าที่ได้โอเคสำหรับชีวิตเราตอนนี้ มันก็คือประสบความสำเร็จแล้วในจุดที่เรายืนอยู่ แต่หนูดีก็ยังชอบเวลาที่เด็กมองไปที่ไอดอลเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเอง เช่นการมองคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ว่าเขาต้องเจออุปสรรคอะไรบ้างก่อนจะประสบความสำเร็จ เขาต้องอดทน ต้องเจ็บปวด ต้องท้อสักเท่าไหร่ แล้วเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับชีวิตตัวเองจะดีกว่า
ความฝันหมดอายุได้
หนูดีเชื่อว่าความฝันมันมีวันหมดอายุ ซึ่งอันนี้มาจากอาจารย์การ์ดเนอร์ที่สอนหนูดีที่ฮาร์วาร์ดตอนที่เข้าไปคุยกันว่าจะเลือกเรียนวิชาอะไร แล้วเราก็ตอบตามสเต็ปอยากให้ครูประทับใจว่าฉันเลือกวิชานี้เพราะว่ามันจะช่วยให้ฉันทำอาชีพในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ แต่อาจารย์ก็บอกเราว่า ไม่ต้องคิดไกลขนาดนั้นก็ได้ เอาเป็นว่าเลือกวิชาที่อยากตื่นไปเรียนทุกวัน มันน่าจะตอบโจทย์เวลานี้ของชีวิต ซึ่งในความเป็นเด็กเราก็ต้องกลัวว่า อนาคตจะเป็นยังไง แต่มุมมองของผู้ใหญ่อายุ 60 เนี่ยก็จะมองว่า จะกลัวอนาคตอะไรกันขนาดนั้น เคยดูสัมภาษณ์คนดังแก่ๆ ในอเมริกาที่เขาถูกถามว่า จะบอกอะไรกับตัวเองตอน 20 ปี แล้วจำนวนมากเลยพูดว่า ฉันจะบอกตัวเองว่าไม่ต้องกลัวขนาดนั้น ซึ่งก็จริง
เพราะฉะนั้นหนูดีก็เลยคิดว่า เวลามีความรู้ว่าเราชอบอะไรให้บอกตัวเองเสมอว่าเราชอบสำหรับเวลานี้ แต่ในอนาคตถ้าจะเปลี่ยนก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตมันเปลี่ยนได้ทุกช่วง เรื่องที่หนูดีไม่เคยสน 10 ปีที่แล้ว หนูดีก็มาสน อย่างเรื่องเพาะปลูก 10 ปีที่แล้วถ้าใครมาบอกว่าเธอต้องปลูกผักกินเอง หนูดีจะแบบฉันไม่ได้เรียนเกษตร ฉันไม่มีเวลา ฉันไม่มีพื้นที่ แต่กลายเป็นว่ามันชอบ มันคลิก แล้วการที่ทำให้คลิกคือแค่พี่โจน จันได มาพูดให้เด็กประถมหนูดีฟังว่า "เมล็ดพันธุ์คือความมั่นคงของชาติ" หนูดีก็ไปฟังแบบก็ได้ เสียเวลาชั่วโมงหนึ่งเอาใจพี่โจน กลายเป็นว่าเปลี่ยนชีวิตเราเลย เพราะฉะนั้นความชอบใหม่ๆ มันเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลาของชีวิต คือเราไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องหนึ่งตลอดทั้งชีวิตก็ได้
ความสำเร็จและยุคสมัย
ความเข้าใจผิดที่สำคัญก็คือ ความเข้าใจว่าอะไรที่มันเคยใช้ได้ยุคหนึ่ง มันจะใช้ได้กับอีกยุคหนึ่งซึ่งจริงๆ มันใช้ไม่ได้แล้ว ยุคหนึ่งเกรดสูงๆ จะทำให้ได้เงินเดือนสูงๆ แต่ปัจจุบันเราก็รู้ว่า มีบริษัทที่ล้มละลายเยอะ เราก็อาจจะต้องทำอะไรที่มันมีความปลอดภัยมากกว่าเป็นลูกจ้างเงินเดือนสูง คำว่า “ฉลาด” ก็คงต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อะไรที่เคยใช้ได้ในยุคพ่อแม่เรา อาจจะใช้ไม่ได้ในยุคเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้คงไม่มีใครนิยามว่ายุคนี้ความฉลาดอันไหนที่เหมาะที่สุดเพราะอาชีพมันหลากหลายมากขึ้น ฉะนั้นก็ต้องดูเป็นรายชีวิตไปว่าชีวิตของคุณ เงื่อนไขและปัญหามันคืออะไร และใช้ความฉลาดที่มันเหมาะกับชีวิตคุณ