Skip to main content
AdSense

ชวนย้อนสำรวจ 5 โรคระบาดในประวัติศาสตร์โลก เราผ่านมาได้อย่างไร และเราเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง

ครั้งนี้เราก็ต้องรอด

ชวนย้อนสำรวจ 5 โรคระบาดในประวัติศาสตร์โลก เราผ่านมาได้อย่างไร และเราเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง
April 8, 2020 Bangkok time
ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ การแพร่ระบาดของโรคร้ายเป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้าและเอาตัวรอดมาให้ได้อยู่เสมอ แม้ว่าบางครั้ง โรคระบาดบางชนิดอาจคร่าชีวิตมนุษย์ไปถึงเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกที่มีอยู่ในเวลานั้น แต่ข้อดีก็คือเมื่อการระบาดแต่ละครั้งสิ้นสุดลง คนรุ่นก่อนหน้าเราเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แล้วนำมาปรับใช้เพื่อตั้งรับและรับมือสถานการณ์ภายภาคหน้าให้ดียิ่งขึ้น 
 
บทความนี้เราจะชวนชาวซอยมิลค์ย้อนกลับไปสำรวจและทำความเข้าใจเหตุการณ์การแพร่ระบาดครั้งยิ่งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในโลก และถอดบทเรียนที่คนรุ่นก่อนหน้าเราเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรคระบาด เพื่อจะช่วยให้เราเข้าใจว่า เราไม่ได้เผชิญสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก และที่สำคัญที่สุด สุดท้ายแล้วมันจะจบลง
 

โรคระบาดยุสตินิอานุส (ค.ศ. 541 - 542)

 
 
การแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นที่กรุงสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ. 541 ในรัชสมัยของจักรพรรดิยุสตินิอานุสที่ 1 ที่เป็นที่มาของชื่อเรียกโรคระบาดนี้ นักประวัติศาสตร์และนักระบาดวิทยาเชื่อว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือ กาฬโรค โดยเชื่อว่าเชื้อเดินทางมาถึงกรุงสแตนติโนเปิลผ่านทางเรือของชาวอียิปต์ที่นำบรรณาการมาถวายองค์จักรพรรดินั่นเอง การระบาดครั้งนั้นแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ลุกลามไปถึงยุโรป เอเชีย อเมริกาเหรือ และดินแดนอาหรับ ประมาณการว่าผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดน่าจะมากถึง 30 ถึง 50 ล้านคน คิดเป็นประชากรครึ่งหนึ่งของโลกยุคนั้นเลยทีเดียว
 
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้: เมื่อปราศจากองค์ความรู้ ความเป็นและความตายก็เท่ากัน
 
กล่าวกันว่าสิ่งที่ทำให้โรคระบาดครั้งนี้ยุติลงก็คือ แทบไม่มีมนุษย์เหลือให้ติดเชื้อแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะคนในยุคนั้นยังไม่มีความรู้และไม่เข้าใจว่ากำลังต่อสู้กับไวรัสร้าย สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงการหลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการป่วยเท่านั้น นอกจากนี้ จากเหตุการณ์ ประชากรอีกครึ่งหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้ก็มีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับโรคภัยต่อไป
 

กาฬมรณะ (ค.ศ. 1347 - 1351)

 
 
กาฬมรณะ (Black Death) คือการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป แม้ว่าจะมีระยะเวลาการแพร่ระบาดเพียงแค่ 4 ปี แต่ก็คร่าชีวิตคนไปถึง 200 ล้านคน โดยเชื้อที่แพร่ระบาดก็เป็นเชื้อกาฬโรคอีกเช่นเคย การมาถึงของกาฬมรณะนั้นสั่นสะเทือนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวยุโรปอย่างมาก ทั้งในแง่ของศาสนา สังคม และชนชั้นทางเศรษฐกิจ เพราะเมื่อโรคระบาดครั้งนี้ผ่านพ้นไป ก็เหลือประชากรอยู่เพียงครึ่งเดียว ทำให้แรงงานกลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญและหายากที่สุด กลายเป็นข้อต่อรองที่ทำให้ระบบเจ้าขุนมูลนายและชนชั้นในสังคมอ่อนแอลง
 
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้: สิ่งที่เรียกว่า 'การกักตัว'
 
ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด คนในยุคนั้นก็ยังคงไม่มีความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการกับไวรัส แต่บทเรียนจากโรคระบาดยุสตินิอานุสทำให้คนเรียนรู้ถึงการจำกัดการแพร่ระบาด ชาวเวนิสเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ควบคุมการเทียบท่าของเรือต่าง ๆ โดยออกกฎให้ลูกเรือและผู้โดยสารของทุกลำห้ามลงจากเรือ และต้องอยู่บนเรือเป็นเวลา 30 วัน จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอาการป่วย จึงจะสามารถขึ้นท่าได้ กฎดังกล่าวรู้จักกันในชื่อกฎ 30 วัน หรือในภาษาอิตาเลียนอ่านว่า Trentino ต่อมาจึงได้เพิ่มจำนวนวันกักตัวเป็น 40 วัน ที่เรียกว่า Quarantine อันเป็นที่มาของคำว่า 'กักตัว' ที่ใช้กันทั่วไปในฝั่งตะวันตกนั่นเอง
 

ไข้หวัดใหญ่สเปน (ค.ศ. 1918 - 1919)

 
 
ไข้หวัดใหญ่สเปนคือการแพร่ระบาดของไวรัส H1N1 ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อถึง 500 ล้านคนทั่วโลก หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลกในยุคต้นศตวรรษที่ 21 และประมาณกันว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้ถึง 50 ล้านคน หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเนื่องมาจากสถานการณ์ในช่วงนั้น ที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งปะทุ ทำให้สถานพยาบาลต่าง ๆ ขาดแคลนบุคลากร เครื่องมือ และแผนการในการรับมือกับโรคระบาด เนื่องจากทั้งหมดถูกส่งไปยังแนวรบจนหมด นอกจากนี้ การไปหาหมอในยุคนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปสามารถทำได้ เพราะมีราคาแพงและไม่ได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปตามชุมชนเหมือนในปัจจุบัน
 
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้: การกำเนิดขึ้นของระบบสาธารณสุข
 
ผลกระทบอันใหญ่หลวงจากการขาดบุคลากรและแผนการในการรับมือ เป็นบทเรียนที่ทำให้รัฐบาลในยุคนั้นเห็นถึงความสำคัญของระบบสาธารณสุขที่เข้าถึงคนทุกพื้นที่ ในยุคนั้น คนที่จะเข้าถึงการรับการดูแลรักษาทางการแพทย์ได้มีแต่ชนชั้นกลางขึ้นไป หรือก็คือคนมีเงินเท่านั้น แต่การแพร่ระบาดของโรคที่คร่าชีวิตคนส่วนใหญ่ที่เป็นที่คนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด คนที่อยู่ชานเมือง และคนที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขอนามัย ทำให้ระบบสาธารณสุขได้เริ่มถือกำเนิดขึ้น ก่อนที่แนวทางดังกล่าวจะแพร่ขยายไปทั่วโลก
 

การแพร่ระบาดของโรคซาร์ส (ค.ศ. 2002 - 2003)

 
 
โรคซาร์ส (SARS ย่อมาจาก Severe Acute Respiratory Syndrome หรือ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง) มีจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ก่อนจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปยังอีก 26 ประเทศ ทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน และมีผู้เสียชีวิต 774 คน ซึ่งเชื้อไวรัสซาร์สนี้มีลักษณะทางพันธุกรรมตรงกับโคโรนาไวรัสถึง 86.9 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะอาการของผู้ที่ติดเชื้อของทั้งสองไวรัสก็มีลักษณะคล้ายกันด้วย
 
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้: สวมมาสก์ ล้างมือ หลีกเลี่ยงที่ชุมชน 
 
การแพร่ระบาดของโรคซาร์สเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเรียนรู้เรื่องการติดเชื้อจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย จนทำให้การรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัดด้วยการสวมมาสก์ ล้างมือ และหลีกเลี่ยงที่จะไปในที่ผู้คนแออัด กลายเป็นกระบวนการป้องกันการติดเชื้อที่แพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไป ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ในช่วงการระบาดของโรคซาร์สนี่ล่ะที่ทำให้การสวมหน้ากากอนามัยออกจากบ้านกลายเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไป
 

การแพร่ระบาดของไวรัสอีโบลา (ค.ศ. 2014 - 2016)

 
 
ไวรัสอีโบลาได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำที่อยู่ใกล้จุดแพร่ระบาดครั้งแรกใน ค.ศ. 1976 ที่ประเทศซาอีร์ หรือปัจจุบันนี้ก็คือประเทศดีอาร์คองโก จนล่าสุด ค.ศ. 2014 มันกลับมาระบาดรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ และถือว่าเป็นการระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกร่วมสมัย โดยจุดเริ่มต้นมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในประเทศกินี ก่อนจะแพร่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไวรัสชนิดนี้คร่าชีวิตคนไปทั้งสิ้น 11,325 คน และมีผู้ติดเชื้อ 28,600 คน หรือในบรรดาผู้ติดเชื้อ 8 คน จะมีผู้เสียชีวิต 1 คน
 
เราเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้: ป้องกันก่อนคือวิธีที่ดีที่สุด
 
มาตรการในการจัดการกับแพร่ระบาดครั้งนี้ที่ได้ผลที่สุดก็คือการกักตัว (อีกแล้ว) นั่นเอง โดยทีมแพทย์ในประเทศเซียร์ราลีโอนได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยจำนวนคนที่ต้องถูกล็อกดาวน์ก็คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรในครัวเรือนทั้งหมด แต่มาตรการนี้ก็ได้รับความร่วมมือจากประชาชนอย่างเคร่งครัด เมื่อสถานการณ์การระบาดทุเลาลง บทเรียนที่องค์กรการแพทย์ได้รับจากเคสตัวอย่างนี้ก็คือ การหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนออกมาในที่สาธารณะ หรือวิธีกันไว้ดีกว่าแก้นี่แหละ
AdSense
AdSense
AdSense