แม้จะเบ่งบานเพียงช่วงเวลาอันแสนสั้น คือเริ่มต้นในปี 1890 และส่องแสงสุดท้ายในปี 1910 แต่การเกิดขึ้นของยุคสมัยทางศิลปะที่เรียกว่า อาร์ตนูโว (Art Nouveau) หรือ นวศิลป์ ก็ได้หยั่งรากฐานแข็งแรงให้กับขบวนการทางศิลปะยุคต่อ ๆ มา และยังคงมีลมหายใจผ่านศิลปะสมัยใหม่ที่ได้รับการแผ้วถางไว้โดยยุคนวศิลป์นี้เอง


เมื่อมองดูลวดลายงดงามชดช้อยและการประดิดประดอยพันธุ์ไม้ที่ถูกถมจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะอาร์ตนูโว ก็อาจมีคำถามว่า สไตล์ศิลปะที่ดู ‘เยอะ’ แบบนี้จะเป็นรากฐานของศิลปะสมัยใหม่ที่เราติดภาพจำความเรียบง่ายและสไตล์มินิมอลได้อย่างไรกันล่ะ? ที่จริงแล้วรากฐานที่อาร์ตนูโวได้วางไว้ให้ศิลปะสมัยใหม่อาจไม่ใช่สไตล์หรือลักษณะทางศิลปะ แต่เป็นแนวคิดในทางศิลปะต่างหากที่เป็นหัวใจหลักที่อาร์ตนูโวได้ทิ้งไว้ให้ศิลปะยุคสมัยต่อ ๆ มาได้สืบสาน

ที่มาที่ไปของอาร์ตนูโวเริ่มมาจากศิลปินกลุ่มหนึ่งที่ลุกขึ้นมาท้าทายศิลปะวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ซึ่งเป็นขนบดั้งเดิมของศิลปะที่มองว่า ศิลปะถูกสร้างสรรค์และดำรงอยู่เพื่อสุนทรียภาพและความงามเท่านั้น แต่แล้วกลุ่มศิลปินหัวขบถที่นำโดยศิลปินชาวอังกฤษ วิลเลียม มอร์ริส ก็ลุกขึ้นมาประกาศว่า ศิลปะไม่ควรมีไว้แค่ชื่นชม แต่ศิลปะควรคำนึงถึงประโยชน์การใช้สอย โดยเฉพาะการใช้ในชีวิตประจำวัน พูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ตึกรามบ้านช่อง ที่อยู่อาศัย หรือแม้กระทั่งวอลเปเปอร์ประดับบ้าน ก็ควรเป็นงานศิลปะได้ ซึ่งมอร์ริสก็ได้รับอิทธิพลในการสร้างงานที่เป็นรุ่งอรุณแห่งศิลปะสมัยใหม่นี้มาจากแนวคิดของกระบวนการที่เรียกว่า อาร์ตแอนด์คราฟต์ (Art and Craft) มาอีกทีหนึ่ง ซึ่งแนวคิดคือการเชิดชูว่าคนทำงานฝีมือไม่ว่าจะเป็น ช่างเย็บ ช่างหล่อ ช่างแกะสลัก ฯลฯ ก็เป็นศิลปินเช่นเดียวกับจิตรกรหรือประติมากร ศิลปะอาร์ตนูโวจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาพวาดและประติมากรรม แต่มีรูปแบบหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่งานสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน การออกแบบปกหนังสือ งานโปสเตอร์ ไปจนถึงงานเครื่องปั้นดินเผา


นอกจากนี้ ศิลปินอาร์ตนูโวยังได้รับอิทธิพลทางความคิดจากขบวนการศิลปะอาร์ตแอนด์คราฟต์ในแง่ของการต่อต้านยุคอุตสาหกรรม (Industrialisation) ศิลปินในสายอาร์ตแอนด์คราฟต์ต่อต้านสินค้าที่มาจากการผลิตของเครื่องจักรและสายพานในโรงงาน พวกเขามองว่า สิ่งใด ๆ ที่จะได้ชื่อว่าเป็นงานศิลปะ ควรได้รับการรังสรรค์ ปั้นแต่งจากมือศิลปินเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ศิลปินอาร์ตนูโวจึงมักออกไปแสวงหาแรงบันดาลใจจากโลกธรรมชาติที่ห่างไกลจากเมืองที่เต็มไปด้วยโรงงาน ลวดลายไม้เถาและดอกไม้จึงกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปะอาร์ตนูโว ซึ่งถูกนำมาประดับประดาในภาพวาดและลวดลายปูนประดับในสถาปัตยกรรม และเมื่อพูดถึงธรรมชาติ นอกจากต้นไม้และพืชพันธุ์ธรรมชาติแล้ว เอกลักษณ์ของศิลปะอาร์ตนูโวยังเป็นการถ่ายทอดความเป็นไปของโลกผ่านภาพของผู้หญิง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาตินั่นเอง
หญิงสาว ความฝัน และนามธรรมในงานของ กุสตัฟ คลิมต์

หากพูดถึงงานจิตรกรรมหรือภาพวาดในสไตล์อาร์ตนูโว ภาพที่ปรากฏขึ้นมาในหัวแทบจะทันทีก็คือภาพชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังจุมพิตและตระกองกอดกันแนบชิดจนดูราวกับว่าจะหลอมรวมเป็นคนคนเดียวกัน และถูกรายล้อมด้วยสีสันและความเมลืองมลังของสีทองอร่าม ที่ทำให้ชายหญิงทั้งคู่ราวกับจะกลืนหายไปกับภาพ ภาพดังกล่าวคือผลงานของศิลปินชาวออสเตรียนนามกระฉ่อน กุสตัฟ คลิมต์ ที่มีชื่อว่า The Kiss (1907–1908) หนึ่งในศิลปินแถวหน้าของขบวนการอาร์ตนูโว เอกลักษณ์ของภาพวาดสไตล์เขาก็คือการใช้สัญลักษณ์ผสมผสานกับลวดลายประดับที่เป็นดอกไม้และฟอร์มชดช้อยต่าง ๆ ทั้งยังชัดเจนในจุดยืนเรื่องการปฏิเสธสไตล์ศิลปะแบบสัจนิยม (Realism) ซึ่งทำให้ภาพวาดของเขาราวกับถ่ายทอดออกมาจากภาพฝัน นอกจากนี้เขายังตอกย้ำในจุดยืนเรื่องศิลปะที่เป็นได้มากกว่าแค่ภาพวาด ผลงานของเขาจึงมีลักษณะร่วมระหว่างความเป็นศิลปะแท้ ๆ กับการใช้แพตเทิร์นดีไซน์เข้ามาสร้างสรรค์ผลงาน


คลิมต์เป็นศิลปินแนวหน้าของขบวนการอาร์ตนูโวอีกคนหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เป็นการถ่ายทอดความงดงามชดช้อยของเพศหญิง ผลงานของเขามักเล่นกับการใช้ผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ของโลกธรรมชาติ ที่รวมไปถึงการใช้ผู้หญิงเป็นภาพแทนของวงจรชีวิตที่ว่าด้วยการเกิดและการตาย ผู้หญิงในแต่ละงานเป็นดังพระแม่แห่งธรรมชาติ (Mother Nature) นอกจากนี้ เขายังใช้ภาพผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ในการสำรวจธรรมชาติของมนุษย์ตั้งแต่ความฝันไปจนถึงกามารมย์ ผู้หญิงในงานของคลิมต์จึงมักมีลักษณะที่เย้ายวน และดูล่องลอยราวกับเป็นหญิงสาวหลุดลอยมาจากภาพฝัน
โลกคือละครและศิลปะในงานโปสเตอร์ ของ อัลโฟนส์ มูคา

เราอาจกล่าวได้ว่า อัลโฟนส์ มูคา เป็นบิดาแห่งศิลปะโปสเตอร์ แม้ว่าการผลิตโปสเตอร์จะมีมาเนิ่นนานก่อนการมาถึงของยุคสมัยของมูคา แต่ศิลปินชาวเช็กคนนี้คือคนที่ทำให้การวาดภาพโปสเตอร์ได้รับการยกระดับให้เทียบเท่ากับงานศิลปะ จุดเริ่มต้นของมูคาเริ่มขึ้นในปี 1894 ที่เขารับอาสาเป็นผู้สร้างสรรค์โปสเตอร์ด้วยเทคนิคภาพพิมพ์หิน ซึ่งจะใช้เป็นโปสเตอร์โฆษณาละครเวทีในกรุงปารีส ที่นำแสดงโดยนักแสดงสาวขวัญใจคนในยุคนั้นอย่าง ซาราห์ แบร์นาร์ต นับจากนั้นผลงานหลักของมูคาก็คือการทำโปสเตอร์ที่มีแบร์นาร์ตเป็นนางแบบหลัก แล้วสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของมูคาที่เป็นถ่ายทอดความเย้ายวนของหญิงสาวท่ามกลางแพตเทิร์นลายประดับพันธุ์ไม้ก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น จนทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะศิลปินอาร์ตนูโวที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ด้วย


งานของมูคาไม่ได้จำกัดอยู่แค่โปสเตอร์เท่านั้น แต่เขายังทดลองทำงานในสื่อต่าง ๆ ตั้งแต่ภาพวาด ภาพประกอบหนังสือ การออกแบบฉากละครเวที การออกแบบเครื่องประดับ และลวดลายวอลเปเปอร์ด้วย เรียกได้ว่ามูคาเป็นศิลปินที่สลายเส้นแบ่งระหว่างศิลปะกับประโยชน์ใช้สอยอย่างชัดเจน
โลกขาวดำและความตายของ ออเบรย์ เบียร์ดสลีย์


ออเบรย์ เบียร์ดสลีย์ คือศิลปินที่เป็นตัวแทนของยุคอาร์ตนูโวที่แท้จริง ผลงานของเขาถ่ายทอดภาพฝันและจินตนาการของมนุษย์ที่แม้จะบิดเบี้ยว แต่ก็สะท้อนธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของศิลปะอาร์ตนูโว นอกจากนี้ช่วงอายุอันแสนสั้นของเขาก็ยังสะท้อนภาพความเบ่งบานอันด่วนจากของอาร์ตนูโว โดยเขาเริ่มต้นชีวิตในฐานะศิลปินตอนอายุ 19 และจากไปในวัยเพียง 25 ปี


ผลงานหลักของเบียร์ดสลีย์คือภาพวาดดรอว์อิงด้วยน้ำหมึก ซึ่งทำให้งานของเขาเป็นภาพสีดำแทบทั้งหมด ซึ่งก็สะท้อนความมืดหม่นซึ่งเป็นมุมมองที่เบียร์ดสลีย์มีต่อโลกได้ดี ธีมหลักในงานของเบียร์ดสลีย์คือการมุ่งสำรวจความแปลกประหลาดและความปรารถนาทางเพศ แรงบันดาลใจหลักของเขาคือผลงานของศิลปินอิมเพรสชันนิสม์อย่าง อ็องรี เดอ ตูลูซ-โลแทร็ก และศิลปะภาพพิมพ์แกะไม้ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปารีสยุคนั้น บทบาทที่สำคัญของเบียร์ดสลีย์ในขบวนการอาร์ตนูโวก็คือการยกระดับงานวาดภาพประกอบหนังสือและปกหนังสือให้เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งก็มาจากการที่เขาเป็นนักอ่านตัวยง และคลุกคลีอยู่ในแวดวงนักเขียน โดยเขาได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก ออสการ์ ไวล์ด ที่งานเขียนของนักเขียนโลกหม่นคนนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เบียร์ดสลีย์วาดการ์ตูนเสียดสีสังคม นอกจากนี้ เขายังก่อตั้งนิตยสาร The Yellow Book ร่วมกับเพื่อนนักเขียนชาวอเมริกัน เฮนรีย์ ฮาร์แลนด์ ด้วย เบียร์ดสลีย์จึงถือว่าเป็นศิลปินที่สามารถผสานโลกของศิลปะและตัวอักษรเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
Something Nouveau. Klimt, Mucha, Beardsley

วันนี้จนถึง 16 เม.ย. ที่ ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก ก็มีการจัดแสดงนิทรรศการมัลติเมียเดียและอินเทอร์แอ็กทีฟที่มีชื่อว่า Something Nouveau. Klimt, Mucha, Beardsley ที่จะพาเราไปสำรวจรุ่งอรุณแห่งศิลปะสมัยใหม่ที่เรียกว่าอาร์ตนูโวอย่างดื่มด่ำ ผ่านการจัดแสดงผลงานศิลปะของสามศิลปินที่สร้างหมุดหมายหลักไว้ในขบวนการศิลปะอาร์ตนูโวที่เราได้กล่าวไปข้างต้น โดยเขาได้รวบรวมผลงานมาสเตอร์พีซกว่า 500 ชิ้นของทั้งสามศิลปินมาจัดแสดงด้วยการฉายโปรเจกเตอร์บนจอขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่รอบห้องมัลติมีเดีย ทำให้เราสามารถเดินเข้าไปชมรายละเอียดและลวดลายความชดช้อยของศิลปะอาร์ตนูโวได้อย่างใกล้ชิด ถ้าอ่านประวัติและผลงานของ 3 ศิลปินที่เราพูดถึงไป แล้วอยากไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่าศิลปะยุคนี้งดงามละเมียดละไมสมกับที่เราเล่ามามั้ย ก็สามารถมาสัมผัสด้วยตาตัวเองแบบ 360 องศาได้ที่นี่เลย โดยราคาบัตรเข้าชมอยู่ที่ 350 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 250 บาท สำหรับเด็กอายุ 4 ขวบขึ้นไป และนักเรียนนักศึกษา


และถ้าอ่านแล้ว ไปชมแล้ว แล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากลองลงมือทำงานศิลปะด้วยตัวเอง ที่นิทรรศการนี้เขาก็ยังมีการจัดเวิร์กชอปที่มี ชื่อว่า The X Project River City Bangkok x Oat Montien Immerse Yourself with Something Nouveau โดยกิจกรรมในเวิร์กชอปนี้ประกอบด้วย การเดินชมนิทรรศการการนำชมจาก คุณโอ๊ต มณเฑียร ศิลปินและกูรูศิลปะที่จะมาให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับศิลปะอาร์ตนูโวตลอดทั้งงาน พร้อมด้วยเวิร์กชอปวาดภาพ 2 ชม.เต็ม ที่ให้เราถ่ายทอดความคิดและแรงบันดาลใจหลังชมนิทรรศการผ่านการสร้างสรรค์ภาพวาดด้วยตัวเอง
