การจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวลในชีวิตประจำวันในช่วงที่สถานการณ์เป็นปกติดีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มาถึง ก็เหมือนกับว่า เราต้องรับมือกับสภาพจิตใจของตัวเองเพิ่มเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะการต้องอยู่กับบ้านตลอด 24 ชม. ติดต่อกันเป็นเวลานานแรมเดือน
การทำตัวติดบ้านช่วงนี้ไม่เพียงต้องอาศัยพลังกายในการรักษาตัวเองไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยพลังใจในการยืนหยัดคงสติไว้ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ขยันมีมาให้เราได้ป่วยจิตเพลียใจแบบรายวัน ซึ่งก็เข้ามาถมทับซ้ำเติมความวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตทั้งในวันนี้และวันข้างหน้าที่เราเก็บสะสมไว้อยู่แล้วด้วย
เราเป็นห่วงว่า กว่าสถานการณ์โควิดจะผ่านพ้นไป คนที่ไม่ได้ป่วยทางกาย ก็อาจจะป่วยทางใจไปเสียก่อน เราจึงขอรวบรวมคำแนะนำจากนักจิตวิทยามาแบ่งปันชาวซอยมิลค์ เพื่อให้เราก้าวผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างเข็มแข็งในทุกมิติชีวิต
ตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน มองหาความสุขในสิ่งเล็ก ๆ และโทรหาเพื่อนบ่อย ๆ

สำหรับคนที่กำลังรู้สึกดาวน์ดิ่ง หรือหวาดหวั่นต่อสถานการณ์ชีวิตในช่วงนี้ (และในอนาคตข้างหน้า) นักจิตวิทยา ดร.จูเลีย ฮิตช์ จาก Ohio State University Wexner Medical Center และ ดร.แอนดรูว์ เฟลมิง จาก University of Washington แนะนำว่า 3 สิ่งที่เราควรทำทุกวันก็คือ การตั้งเป้าหมายระยะสั้น ๆ แค่สำหรับวันนั้น ๆ รวมไปถึงการค้นหาสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในแต่ละวัน แม้ว่าจะสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการได้กินขนมที่ชอบ เห็นต้นไม้ที่ระเบียงเริ่มแตกหน่อ หรือการค้นพบเพลงใหม่ที่ถูกใจ และอีกหนึ่งกิจวัตรที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือการคุยกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ไม่ว่าจะผ่านการโทร วิดีโอคอล หรือจะแชตเป็นตัวอักษรก็ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ แม้จะเล็กน้อย แต่ก็จะทำให้เราได้รู้สึกเชื่อมต่อกับสังคม ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว และทำให้เรารู้สึกว่ามีคนที่จะก้าวผ่านสิ่งนี้ไปด้วยกัน
หายใจลึก ๆ ทบทวนตัวเอง
ดร.ริก แฮนสัน หนึ่งในผู้สร้างสรรค์ Simple Habit แอปพลิเคชันที่ช่วยเราค้นหาการทำสมาธิที่เหมาะกับสถานการณ์หนึ่ง ๆ หรือช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ เช่น อาการนอนไม่หลับ เครียดจากการทำงาน อกหัก ฯลฯ เขาแนะนำว่า เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าความวิตกกังวลกำลังกล้ำกรายเข้ามา ให้เราหายใจลึก ๆ ช้า ๆ และย้ำเตือนตัวเองว่า อะไรบ้างที่เป็นจริง และอะไรบ้างที่เราคิดไปเอง โดยแฮนสันยังแนะนำด้วยว่า สิ่งที่เราควรโฟกัสกับตัวเองระหว่างหายใจช้า ๆ ก็คือ "ในชั่วขณะนี้ หัวใจของเรากำลังเต้นอยู่ เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้"
เสพข่าวให้น้อยลง
สิ่งสำคัญมาก ๆ ที่เราทุกคนควรทำในช่วงนี้ก็คือ การจำกัดปริมาณข้อมูลข่าวสารที่เสพ โดยเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่เราจำเป็นต้องรู้ และลดการรับข้อมูลที่มีแต่จะทำให้เราเครียดหรือกังวลมากขึ้น และถ้าเป็นไปได้ ดร.เอมี เซอร์บัส นักจิตวิทยาและไดเรกเตอร์แห่ง Talkspace แอปฯ ให้คำปรึกษาด้านจิตเวช แนะนำว่าให้เราปิดการแจ้งเตือนอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ไปเลย และให้เข้าไปเช็กข่าวในแต่ละวันจากสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ก็พอ ไม่ใช่แค่เฉพาะจากแฮชแท็กในทวิตเตอร์ หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ
เปลี่ยนความกังวลเป็นความห่วงใย

ข้อนี้อาจจะไม่ใช่คำแนะนำจากนักจิตวิทยา แต่ก็เป็นสิ่งที่เราทำได้และควรทำ โยเซฟ คาเนฟสกี แรบไบหรือผู้นำทางศาสนาจากกลุ่มคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์สมัยใหม่ แนะนำว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกไร้หนทาง หรือสูญเสียอำนาจในการควบคุมชีวิตของตนเอง แต่อย่าลืมว่าอำนาจหนึ่งที่เรามีอยู่และสามารถทำได้ก็คือการช่วยเหลือผู้อื่น โดยเราสามารถเริ่มต้นได้จากการนั่งลงแล้วทำลิสต์รายชื่อของคนที่เรารู้จักและคิดว่าเขาน่าจะต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดในช่วงนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือคนที่อาศัยอยู่คนเดียว จากนั้นโทรไปสอบถามความเป็นไป แสดงความห่วงใย คุยเป็นเพื่อน หรือลองถามดูว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถเปลี่ยนความวิตกกังวลให้เป็นพลังในการช่วยเหลือผู้อื่นได้
ขอบคุณตัวเองที่ยังแข็งแรง

แทนที่จะตื่นขึ้นมาแล้วจมอยู่กับความเหงาอ้างว้างและความรู้สึกสิ้นหวัง ลองตื่นขึ้นมาแล้วขอบคุณตัวเองที่ยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยดูบ้างก็ดี ยูซาส์ ซากิ บรรณาธิการข่าว www.gulfnews.com แนะนำว่า การขอบคุณตัวเองที่ยังสามารถหายใจเป็นปกติ ยังมีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากเตียงมาดำเนินชีวิตประจำวัน ยังคงรับประทานอาหารได้เป็นปกติ และยังเคลื่อนไหวได้โดยไม่เจ็บไม่ปวด อาจช่วยให้เรามีพลังใจในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างมีความสุขขึ้น ฟังดูแล้วอาจจะทำได้ยาก เพราะต้องใช้พลังในการควบคุมความคิดของตัวเองอย่างสูง แต่ยิ่งเราควบคุมความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้มากเท่าไหร่ เราก็สามารถหันไปทุ่มเทพลังกับสิ่งที่มีประโยชน์และสร้างสรรค์กว่าได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เริ่มจะมีความคิดลบ ๆ ผุดขึ้นมาในหัว เราก็รีบขอบคุณตัวเองทันทีเลย
อ่านหนังสือ
อาจดูเป็นคำแนะนำดาษดื่นที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว แต่เราก็ขอหยิบมาย้ำเตือนกันอีกครั้งว่า การอ่านหนังสือจะช่วยให้เราก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งจริง ๆ นะ การอ่านหนังสือเป็นการบริหารสมองที่ดียิ่งกว่าการดูซีรีส์หรือหนังทั้งวัน เพราะเราต้องใช้พลังจินตนาการในการสร้างภาพในหัวขึ้นมาเอง หนังสือยังช่วยเปิดโลกใหม่ ๆ ให้เรา และทำให้เราสามารถหนีจากชีวิตจริงไปใช้ชีวิตผ่านมุมมองของตัวละครต่าง ๆ ในหนังสือได้ชั่วคราวอีกด้วย แถมไม่แน่ว่าการติดหนังสือในช่วงนี้ อาจกลายเป็นกิจวัตรติดตัวเราไปถึงตอนที่เรากลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ด้วยนะ
ขอบคุณภาพทั้งหมดจาก pexels.com


