Skip to main content
AdSense

The Crown ซีซัน 4: การกลับมาของซีรีส์อิงประวัติราชวงศ์อังกฤษ กลไกอำนาจที่ ‘ทุกคน’ ล้วนเป็นคนนอก

เทพนิยายไม่มีจริง

The Crown ซีซัน 4: การกลับมาของซีรีส์อิงประวัติราชวงศ์อังกฤษ กลไกอำนาจที่ ‘ทุกคน’ ล้วนเป็นคนนอก
November 15, 2020 Bangkok time
ถือว่าเป็นการกลับมาอย่างน่าตื่นเต้น สำหรับซีรีส์ที่หลายคนรอคอยอย่าง The Crown ที่ซีซัน 4 นี้ ถึงคิวของตัวละครสำคัญคนใหม่ ๆ ทั้งมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ไดอานา สเปนเซอร์ หญิงสาวที่ต่อมากลายเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ และคามิลลา พาร์กเกอร์-โบลส์ รักต้องห้ามของเจ้าชายที่ไม่เคยออกไปจากชีวิต
 
 
ด้วยความยาวทั้งหมด 10 เอพิโซด ทำให้เราจำกัดความภาพรวมซีซันนี้ได้ยาก ว่ามันให้น้ำหนักกับมิติด้านการเมือง 'นอกบ้าน' หรือเรื่อง 'ในบ้าน' มากกว่ากัน และคงสรุปได้เพียงว่ามันเล่าถึงปัญหาที่แก้ไม่ตกในกลไกเชิงอำนาจรอบตัวผู้หญิงที่เป็นเสาหลักของบ้าน และของประเทศ หรือในที่นี้ก็คือ 'The Crown' นั่นแหละ
 
 
นอกเหนือจากการเปิดตัวไดอานาที่แฟน ๆ ซีรีส์รอคอยแล้ว ในเอพิโซดแรกเรายังได้เห็นชัยชนะของพรรคอนุรักษนิยมและการรับตำแหน่งของนายกฯ หญิงสายแกร่งที่ไม่ได้มาจากครอบครัวชนชั้นนำ ซึ่งมาพร้อมนโยบายเศรษฐกิจที่เด็ดขาด คล้ายเป็นการปรับมู้ดและเซตโทนการเล่าเรื่องไปในตัว ทำให้การแตะประเด็นปากท้อง ปัญหาระหว่างชนชั้น และความไม่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงของราชวงศ์ตลอดทั้งซีซันยิ่งอิมแพกต์ใจคนดูยิ่งขึ้น
 
 
 
สิ่งที่ยังคงเดิมใน The Crown คงหนีไม่พ้นโปรดักชันเทพ ๆ และงานภาพสวย ๆ ตลอดจนสไตล์การเล่าเรื่องที่มักนำ 2 เส้นเรื่องมาทาบทับกัน เช่น เรื่องนอกบ้านกับในบ้าน ความรักกับหน้าที่ เจ้านายกับประชาชน ซึ่งยังคงทำออกมาได้ดีและลงตัวตามมาตรฐานเช่นเคย โดยที่เราชอบการนำเสนอมุมของประชาชนผู้ขาดโอกาสเป็นพิเศษ
 
 
ในช่วงกลางซีซันเป็นช่วงที่เราประทับใจกว่าส่วนอื่น ๆ เพราะมันไฮไลต์ความชายขอบ -ทั้งที่ชายขอบโดยธรรมชาติและที่ถูกทำให้ชายขอบ- ได้อย่างน่าสนใจ โดยเอพิโซด 5 เป็นเรื่องราวของ ไมเคิล ฟากัน ชาย (ที่หลายฝ่ายเคลมว่าสติไม่ดี) ผู้บุกรุกห้องบรรทมของควีน เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ และเอพิโซด 7 เป็นเรื่องเครือญาติของราชวงศ์อังกฤษที่ถูกปิดเป็นความลับ แม้แต่กับสมาชิกราชวงศ์เอง ด้วยเกรงว่าพันธุกรรมที่ 'น่าอาย' จะลดความชอบธรรมในการครองบัลลังก์และทำให้ผู้คนต่อต้านสถาบัน
 
 
 
'ความกลม' และเหนือชั้นอีกประการหนึ่งของ The Crown คือการขึ้นต้นด้วยตัวละครยอดนิยมอย่างไดอานา และลงท้ายด้วยไดอานา แถมด้วยการยืนยันกลาย ๆ ว่าเทพนิยายชวนฝันไม่มีอยู่จริง (อย่างน้อยก็กับครอบครัวนี้) พร้อมบทพูดคม ๆ จากตัวละคร 'ผู้หญิงอีกคน' อย่างคามิลลา ที่บอกว่าประชาชนต้องการเห็นความรักแบบเทพนิยายมากกว่าความรักที่อยู่กับความเป็นจริง และเทพนิยายก็มีกฎเกณฑ์ของมัน ซึ่งกฎเกณฑ์นั้นได้ตัดเธอออกจากสมการความรักนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
 
 
อีกหนึ่งกฎเกณฑ์ที่ถูกยกขึ้นมาปิดท้ายซีซันก็คือ กฎเกณฑ์ที่บอกว่า 'ทุกคนล้วนเป็นคนนอก' ในระบบราชวงศ์นี้ เพราะความเป็นคนในหรือคนนอกไม่ได้แบ่งจากสายเลือดหรือความเป็นครอบครัว แต่แบ่งจากการที่คนคนหนึ่งต้องแบกรับภาระจาก 'The Crown' หรือไม่ นั่นก็เท่ากับว่า ใครที่ไม่ใช่ควีนก็ถือเป็นคนนอกทั้งสิ้น และไม่ได้มีความสลักสำคัญอีกต่อไป กลายเป็นการสร้างเลเยอร์ขึ้นอีกทบหนึ่ง ว่ากลไกเชิงอำนาจนี้ไม่ได้มีช่องว่างระหว่างสถาบัน-รัฐบาล-ประชาชนเท่านั้น แต่ช่องว่างระหว่างคนในสถาบันอันทรงอำนาจเองก็กว้างใหญ่ ไม่ต่างจากกลุ่มสังคมอื่น ๆ เลย
 
 
ด้วยแคสต์ที่แข็งแรง ทำให้เนื้อเรื่องอิงเหตุการณ์จริง (ที่หลายเหตุการณ์ก็เป็นที่รับรู้อยู่แล้ว) น่าติดตามขึ้นมาแบบเท่าทวีคูณ และสำหรับเราแล้ว MVP ของซีซันนี้ต้องยกให้ จิลเลียน แอนเดอร์สัน ในบท มาร์กาเรต แทตเชอร์ ที่ไม่ว่าจะออกกี่ซีนก็ทรงพลังและน่าเชื่อเสมอ ขณะที่ เฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ ในบท เจ้าหญิงมาร์กาเรต ก็ยังเล่นออกมาได้กระทบใจเราเหมือนเดิมต่อเนื่องจากซีซันที่แล้วแบบบาร์ไม่ตกจริง ๆ
 
The Crown สตรีมทาง Netflix
 
YouTube video
 
YouTube video
AdSense
AdSense
AdSense