ไม่ได้เตรียมใจหรือคิดอะไรไปก่อนดูเลย สำหรับโปรเจกต์ล่าสุดของ จอร์แดน พีล เรื่อง Nope ไม่ ที่บอกเล่าเรื่องราวเหนือจริงแบบหนังไซไฟ แต่ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนและสะท้อนสังคมอยู่กลาย ๆ ด้วย โดยถ้าใครติดตามความแปลกใหม่ของมุมมองผู้กำกับคนนี้มาจากเรื่อง Get Out และ Us ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้ก็พลาดไม่ได้เช่นกัน เพราะถือว่าเป็นหนังที่วางโจทย์ไว้ยากและทำให้กลมกล่อมยากกว่าเยอะ แต่กลายเป็นว่าเราเอ็นจอยมันมากกว่าโปรเจกต์ก่อน ๆ ของคุณผู้กำกับอย่างคาดไม่ถึง

Nope เล่าเรื่องของชายหนุ่มจากครอบครัวผู้ฝึกม้าเก่าแก่ที่อยู่คู่ฮอลลีวูดและวงการบันเทิงมานาน แต่กำลังจะเสียฟาร์มไป หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตกะทันหันจากเหตุการณ์ประหลาด แล้วตัวเขาเองไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้อย่างที่เคยเป็นมา วันหนึ่งเขาคนนี้พบวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า และคิดไปว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ฆ่าพ่อของเขาก็ได้ ซึ่งการตั้งคำถามนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น


เช่นเดียวกับ Get Out และ Us จอร์แดน พีล ยังคงเขียนบท อำนวยการสร้าง และกำกับโปรเจกต์นี้เอง รวมถึงมันยังคงบอกเล่าเรื่องราวของคนดำในสังคมอเมริกันได้อย่างน่าสนใจ โดยเปิดเรื่องด้วยความสำคัญของต้นตระกูลตัวละครหลักต่อวงการบันเทิงอเมริกัน ที่มักถูกมองข้ามเสมอมา ขณะเดียวกัน Nope ก็เหมือนกำลังบอกเล่าเรื่องราวและแสดงความคารวะต่อทีมงานหน่วยเล็กหน่วยน้อยผู้ไม่เคยได้เครดิตหรือถูกมองว่าสำคัญในโปรดักชันใหญ่โตของฮอลลีวูด (จริง ๆ นอกเรื่อง) ไปพร้อมกันด้วย

นอกจากการพูดถึงการมีส่วนร่วมของคนดำในธุรกิจบันเทิง หรือแม้แต่การเป็นองค์ประกอบเล็กน้อยแต่สำคัญในภาพรวมของ 'นักฝึกม้า' อาชีพของตัวละครหลักแล้ว หนังเรื่องนี้ยังย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของเทคโนโลยีด้วยการวางโครงเรื่องให้อุปกรณ์ไม่ใช้ไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญในการก้าวข้ามอุปสรรคในเรื่อง ซึ่งหลายโจทย์ที่หนังตั้งไว้แต่แรกมันดูเหมือนจะเสพยาก แต่กลับไม่ยากเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีส่วนผสมกับรสชาติที่แปลกไปหน่อย มันก็ยังกลมกล่อมลงตัวดีมาก ๆ ทีเดียวเชียวล่ะ

(*ย่อหน้าต่อไปนี้มีสปอยล์)
จุดที่เหมือนหนังจะแตะ ๆ แต่ไม่ได้ไฮไลต์หรือ 'ให้แสง' กับมันมากนัก คือ ประเด็นการใช้แรงงานสัตว์ รวมถึงการออกแบบ 'ภัยคุกคาม' ให้เป็นสัตว์ สามารถฟังก์ชันและเลิกฟังก์ชันได้เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป มีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่เกลียด สิ่งที่ทำให้อยู่รอด และสิ่งที่ทำให้ตาย ซึ่งบางฉากบางตอนดันคล้ายกับการจะบอกใบ้เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกไปซะอีก เป็นการใส่เลเยอร์ที่มีชั้นเชิงและเกินคาดจริง ๆ บอกตรงนี้เลยว่าถึงหนังจะยาวเกิน 2 ชั่วโมง แต่ก็ 'เอาคนดูอยู่' มาก ๆ จังหวะจะโคนดีเลยล่ะ
Nope ไม่ เข้าฉายแบบสนีกพรีวิว (เปิดรอบหลัง 20:00 น.) แล้วในโรงภาพยนตร์ และจะเข้าฉายเต็มโปรแกรม 18 ส.ค.
