ที่ผ่านมา ไรอัน เมอร์ฟีย์ เป็นคนทำซีรีส์ที่มีชื่อในด้านการจับเหตุการณ์จริงหรือบุคคลจริงประวัติศาสตร์มาขยำยำใหม่ได้อย่างน่าดูและมีประเด็นน่าสนใจเสมอ ตัวอย่างเช่น ซีรีส์ตระกูล American Horror Story ที่เมอร์ฟีย์ก็หยิบจับเอาเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่อง สถานที่หลอน ๆ ที่มีตำนานสุดเฮี้ยน หรือไม่ก็เหตุการณ์สยองที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์อเมริกา มาร้อยเรียงเข้าด้วยกันภายใต้ธีมหลักของแต่ละซีซัน หรืออย่างตระกูล American Crime Story ที่เขาหยิบเอาคดีฆาตกรรมที่อาจไม่ได้โหดสยองเท่าฝั่ง AHS แต่เป็นคดีฉาวระดับประเทศมาตีแผ่ใหม่ เช่น คดีที่นักฟุตบอลขวัญใจชาวอเมริกัน โอ.เจ. ซิมป์สัน เป็นจำเลยฐานฆ่าภรรยาของตัวเอง หรือ คดีฆาตกรรมดีไซเนอร์ชื่อดัง จิอานนี เวอร์ซาเช ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Versace นั่นเอง
ภาพจำของ ไรอัน เมอร์ฟีย์ สำหรับแฟน ๆ จึงกลายเป็นคนทำซีรีส์ที่ 'เข้าแก๊งไหนคนตายกันหมด' คือถ้าลองเมอร์ฟีย์หยิบเอาประเด็นหรือธีมไหนมาทำเป็นซีรีส์ คนดูก็สามารถรอดูความ 'ฉิบหาย' ของเรื่องนั้น ๆ ได้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อเจ้าตัวประกาศจะหยิบเอาประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดในช่วงยุค 40-50 ที่เป็นยุคทองของสตูดิโอหนังมาทำเป็นซีรีส์ แฟน ๆ ของเมอร์ฟีย์ก็คาดหวังกันแล้วว่าเราน่าจะได้ดูอะไรที่พินาศระดับเดียวกับ Once Upon a Time... in Hollywood อะไรทำนองนั้น
แต่เมื่อ Hollywood ปล่อยลงในเน็ตฟลิกซ์ให้ชาวเราได้ดูกันเมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมานี้ แฟนเมอร์ฟีย์อย่างเราก็มีอันต้องเซอร์ไพรส์เล็กน้อย เพราะเรื่องราวห่างไกลจากความฉิบหายระดับเมอร์ฟีย์ไปไกลโข และเมื่อดูไปจนจบโดยหวังว่าผู้สร้างจะพลิกล็อกตลบหลังคนดู ก็พบว่ามันน่าจะเป็นผลงานที่ 'โลกสวย' ที่สุดของเขานับตั้งแต่สร้าง Glee เมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยก็ว่าได้
Hollywood ว่าด้วยเรื่องราวของเหล่าคนตะกายฝันในฮอลลีวูดในช่วงยุค 40 อันเป็นยุครุ่งเรืองของระบบสตูดิโอแบบผูกขาด ที่คนทำหนังและเหล่าดารายังต้องเซ็นสัญญาทำงานภายใต้สตูดิโอที่สังกัดเพียงแห่งเดียว อีกทั้งยุคนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่อเมริกายังอยู่ภายใต้อคติทางเชื้อชาติ สีผิว และเพศ เหล่าคนตัวเล็กตัวน้อยที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักใน Hollywood จึงมีสภาพเป็นดังคนนอกหรือคนชายขอบในโลกแห่งแสงสีนี้ ไม่ว่าจะเป็น นักแสดงสาวผิวสีที่ได้รับแต่บทคนใช้ เกย์หนุ่มผิวสีที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นคนเขียนบทหนัง หรือเมียเจ้าของสตูดิโอหนังที่มีวิสัยทัศน์ไกลแต่กลับถูกผลักให้กลับไปอยู่ในบ้านในครัวอยู่ร่ำไป
ชะตาชีวิตของเหล่าคนนอกแห่งฮอลลีวูดได้มาข้องเกี่ยวกัน เมื่อเจ้าของสตูดิโอที่ทำแต่หนังห่วย ๆ เน้นหาเงินมีอันต้องตกอยู่ในสภาวะโคม่า อำนาจการสั่งการในสตูดิโอจึงตกมาอยู่ในมือของภรรยาที่อยู่ใต้เงาของสามีมานาน เมื่อคนที่ถูกกดขี่ด้วยค่านิยมทางเพศได้มีโอกาสฉายแสง เหล่าคนที่เคยถูกหลงลืมจึงได้มีโอกาสแจ้งเกิด พวกเขาจึงร่วมมือกันเพื่อที่จะดันหนังเรื่อง Meg ให้ได้ออกฉาย โดยความสำคัญก็คือ นี่คือหนังเรื่องแรกที่มีนางเอกเป็นคนผิวสี เขียนบทโดยเกย์ผิวสี อำนวยการสร้างโดยผู้หญิง และควบคุมการถ่ายทำโดยโปรดิวเซอร์เกย์ที่แอบซ่อนตัวตนที่แท้จริงมาตลอด
ตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ใน Hollywood มีเค้าโครงหรือไม่ก็สร้างมาจากแรงบันดาลใจที่เมอร์ฟีย์ได้มาจากบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในช่วงเวลานั้น Hollywood จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวสร้างฝันของตัวละครคนนอกที่ผู้สร้างเขาคิดขึ้นมาเอง แต่มันยังสื่อถึงความตั้งใจของเขาที่จะสร้างโลกฮอลลีวูดในฝันออกมา ซึ่งเป็นโลกที่ต่างจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริงโดยสิ้นเชิง เพราะในขณะที่ตัวละครในเรื่องร่วมแรงร่วมใจและร่วมมือกันจนฝ่าฟันทุกอุปสรรคมาได้ แต่ในประวัติศาสตร์จริง เหล่าดาราผิวสี เกย์ หรือคนเอเชียตัวจริง กลับต้องเผชิญกับการดูถูก การคุกคามจากประชาชนคนอเมริกันที่ยังมีอคติเรื่องเชื้อชาติและเพศ รวมไปถึงเหล่าคนตัวใหญ่ในฮอลลีวูดที่พยายามกำจัดทุกความแตกต่างที่จะสั่นคลอนอำนาจเบ็ดเสร็จของตัวเอง
เรื่องราวใน Hollywood จึงเป็นเหมือนภาพจินตนาการของเมอร์ฟีย์ถึงโลกฮอลลีวูดที่ดีกว่า ที่อาจไม่ใช่แค่ฮอลลีวูดในช่วงเวลานั้น แต่อาจหมายถึงโลกทั้งใบในตอนนี้ด้วย Hollywood จึงอาจถือเป็นโลกในอุดมคติของเมอร์ฟีย์ ที่อคติเกี่ยวกับเพศและเชื้อชาติพ่ายแพ้ต่อพลังของมิตรภาพและความฝัน... โลกที่เหล่าคนนอกของสังคมร่วมมือร่วมใจกันแล้วมีชัยเหนือค่านิยมใด ๆ ของสังคม
Hollywood สตรีมแล้วทาง Netflix
