เชื่อว่าเหล่าผู้มีใจรักชอบในการทานเนื้อ ย่อมต้องคุ้นหูและคุ้นเคยกับชื่อแหล่งที่มาของเนื้อวัวชั้นยอดจากดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ และบางคนอาจถึงขั้นเซียนขนาดจำแนกแยกความแตกต่างของเนื้อจากแต่ละประเทศได้อย่างชำนิชำนาญ แบบว่าแค่เห็นชื่อประเทศเหล่านี้ต่อท้ายมาในเมนู ก็รู้แล้วว่าสัมผัสและรสชาติของน้ำเนื้อที่จะได้รับในมื้อนั้น ๆ จะเป็นเช่นไร
แต่ไม่ว่าจะลิ้มลองมาแล้วกี่ประเทศ สายเนื้อตัวจริงคงพอจะได้ยินชื่อเสียงเรื่องรสชาติและคุณภาพของเนื้อวัวสัญชาติไทยที่ในช่วงหลัง ๆ เริ่มกลายมาเป็นตัวเลือกในเมนูของร้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อโคขุนที่เป็นที่โด่งดังและเป็นเนื้อยอดนิยมประจำร้านปิ้งย่างหลาย ๆ แห่ง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าที่ทางของเนื้อวัวสัญชาติไทยในแวดวงคนรักเนื้อจะหยุดอยู่แค่นั้น ไม่มีใครคิดว่า เนื้อวัวไทยจะเทียบชั้นได้กับเนื้อวัวที่นำเข้าจากต่างประเทศได้

แต่ในซ.จันทน์ ย่านสาธร มีร้านเล็ก ๆ ที่เป็นที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่เชื่อว่า คนไทยก็สามารถผลิตเนื้อที่มีคุณภาพและรสชาติทัดเทียมกับชาติอื่นได้ และ เตี่ย บุชเชอรี ก็เกิดจากความตั้งใจนั้นของ เชฟแบงค์ ฐานธิษณ์ เล็กชม และ คุณเจน เจนนิเฟอร์ พศกรเสถียร สองผู้ก่อตั้งร้าน ที่เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาโคเนื้อสายพันธุ์ไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมเนื้อจากประเทศผู้ผลิตอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของรสชาติ ที่ทั้งสองเห็นว่ารสชาติของเนื้อสด ๆ จากฟาร์มไทยที่มีขั้นตอนและกรรมวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง ให้รสชาติที่ไม่ด้อยไปกว่าเนื้อนำเข้าจากต่างประเทศเลย กลับกัน เนื้อจากต่างประเทศต่างหากที่ยังมีจุดด้อย ตรงที่กว่าจะมาถึงคนกินต้องผ่านกระบวนการแช่แข็งต่าง ๆ ที่ทำให้เสียรสชาติดั้งเดิมไป


เตี่ย บุชเชอรี จึงถือกำเนิดขึ้นจากทีมงานที่ไม่เพียงมองเห็นลู่ทางในการดันเนื้อไทยเท่านั้น แต่ยังทุ่มเทถึงขั้นลงมือทำ โดยทั้งเชฟแบงค์และคุณเจนได้ลงไปศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ของการผลิตเนื้อวัวทั้งหมด ตั้งแต่คัดเลือกสายพันธุ์ ผสมพันธุ์ ไปจนถึงวิธีการเลี้ยง เพื่อให้ได้เนื้อคุณภาพเยี่ยม ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะเสิร์ฟมื้ออาหารให้ได้มาตรฐานสูงที่สุด และสดใหม่จากฟาร์มจนถึงจานเรา

เนื้อวัวที่เสิร์ฟที่ร้านเตี่ย บุชเชอรี คือเนื้อวัวสายพันธุ์มัญจาคีรีวากิว ซึ่งเป็นสายพันธุ์พิเศษที่พัฒนาขึ้นโดยกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวในอ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ผสมกับองค์ความรู้ด้านการพัฒนาสายพันธุ์วากิวไทยจาก คุณโคชิ ทานากะ ผู้เชี่ยวชาญที่เผยแพร่ความรู้ในประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ทำให้ได้เนื้อที่มีกลิ่นและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยวัวจะถูกเลี้ยงด้วยหญ้าที่เติบโตด้วยน้ำกร่อยเท่านั้น เนื้อวัวที่ได้จึงมีกลิ่นความมิลกี้เล็ก ๆ ที่หาไม่ได้ในวัวไทยจากฟาร์มอื่น

จานแรกที่เชฟแบงค์ภูมิใจนำเสนอก็คือ ยุกเกะมัญจาคีรีวากิว หรือ ยำเนื้อดิบแบบเกาหลี ที่เชฟแบงค์เลือกใช้เนื้อส่วนสะโพก ซึ่งมีความหนึบหนับและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มาหั่นเป็นเส้นแล้วคลุกเคล้ากับซอสรสชาติเข้มข้น ท็อปด้วยไข่ดิบออร์แกนิก ทานคู่กับสาลี่หั่นเนื้อกรอบที่รองมาด้านล่าง ทำให้ได้เทกซเจอร์ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความเด้งของเนื้อและความกรอบของสาลี่ เป็นจานเนื้อดิบทานเย็น ๆ ที่ทานแล้วทั้งสดชื่นมาก ๆ ขอกระซิบว่า สายเนื้อตัวจริงต้องไม่พลาดจานนี้!

จานต่อมาคือ ลิ้นวัวดรายเอจย่าง ที่เราขอร้องว่า มาแล้วต้องสั่ง เพราะความหนึบของลิ้นนั้นยังคงตราตรึง จานนี้สามารถคีบเข้าปากเลยก็ได้ สำหรับใครที่อยากรับรสชาติและกลิ่นของลิ้นดรายเอจแบบเต็ม ๆ แต่ถ้าอยากเพิ่มความแซ่บขึ้นมาหน่อย จานนี้เขาก็เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วรสชาติกำลังดี แต่ที่เราชอบที่สุดก็คือการทานคู่กับองุ่นดองรสชาติเปรี้ยวอมหวานหอม ๆ ที่เสิร์ฟมาในจาน

มาถึงไฮไลต์ของทางร้านที่ใครมาก็ต้องสั่ง นั่นก็คือ เทนเดอร์ลอยน์มัญจาคีรีวากิว หรือ สเต็กเนื้อมัญจาคีรีส่วนสันใน ที่ถือเป็นเมนูที่เป็นหัวใจของร้าน เพราะเป็นจานที่สะท้อนผลลัพธ์ของความอุตสาหะในการเก็บกอปรความรู้ด้านการเลี้ยงวัวที่ทางร้าน คุณทานากะ และกลุ่มเกษตรกรได้พัฒนาร่วมกัน สันในสุดพรีเมียมนี้จึงมีสัดส่วนระหว่างเนื้อกับไขมันที่ลงตัวสุด ๆ โดยเฉพาะความนุ่มนวลและชุ่มฉ่ำ ส่วนสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของจานนี้ก็คือความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อ ที่เราอยากแนะนำว่าให้จิ้มเกลือ (ที่ทางร้านใช้ดอกเกลือจากจ.น่าน) นิด ๆ จะช่วยดึงรสสัมผัสของเนื้อออกมาได้ดียิ่งขึ้น!

สำหรับใครที่มาที่นี่แล้วมองหาอาหารจานเดี่ยว สามารถเลือกสั่งเป็น ข้าวหน้าเนื้อมัญจาวากิวไข่ดอง ที่ถึงจะเป็นข้าวหน้าเนื้อ แต่ทางร้านก็ใช้เนื้อเกรดเดียวกับเมนูสเต็ก นอกจากนี้ข้าวผัดที่ถูกโปะหน้าด้วยเนื้อพูนจานนั้นก็ยังมีความพิเศษตรงที่ใช้มันเนื้อลงไปผัดกับข้าว และปรุงรสด้วยซอสสูตรลับของทางร้านจานนี้ให้รสชาติที่ครบ แถมยังชูเอกลักษณ์ของเนื้อมัญจาวากิวได้ไม่ขาดตกบกพร่องด้วย

จานสุดท้ายที่อาจเป็นเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ให้ได้มาลองเลือกสั่งกันก็คือ ซุปทรัฟเฟิล ซึ่งต่อให้ทางร้านจะเน้นเมนูเนื้อ แต่กับเมนูที่ไม่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบจานนี้ เขาก็ยังใส่ใจปรุงมาได้อย่างพอดี กลิ่นของทรัฟเฟิลที่เป็นเอกลักษณ์ก็ยังถูกคงไว้อย่างครบถ้วน รวมไปถึงความนุ่มนวลแต่เข้มข้นที่ทำให้ตักทานได้เรื่อย ๆ ไม่หนักครีมจนเกินไป

Soimilk Says: ก็ต้องขอบอกว่าร้านนี้คือสรวงสวรรค์สำหรับคนรักเนื้อจริง ๆ เพราะเขาใส่ใจตั้งแต่กรรมวิธีหลังฟาร์มมาจนถึงหน้าฟาร์ม ส่วนเรื่องรสชาติก็ไม่ต้องกังวลเลย เพราะเชฟแบงค์เขาตั้งใจที่จะทำให้ที่นี่เป็นร้านที่คนรักเนื้อได้มาทำความรู้จักกับเนื้อวัวไทยแล้วต้องติดใจ ถือว่าเป็นร้านที่พลาดไม่ได้สำหรับคนรักเนื้อตัวจริงที่ไม่ได้เสพแค่รสชาติ แต่รวมไปถึงศาสตร์หรือองค์ความรู้การผลิตเนื้อ แถมยังได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยโดยตรงด้วยนะ!
เตี่ย บุชเชอรี่ ซ.จันทน์ 18/7 เวลาทำการ วันพุธ-จันทร์ (ปิดวันอังคาร) 11:30-15:00 น. และ 16:00-21:00 น. โทร. 062-953-5329 fb.com/tiabutchery