ภาพจำของเราเกี่ยวกับย่านคลองสานบริเวณ ถ.ท่าดินแดง ซอยต้น ๆ ก็คือย่านที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบของคนที่อยู่ที่นี่มาช้านาน เป็นย่านที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยอาคารพาณิชย์เก่าแก่และร้านอาหารริมทาง ที่บางร้านก็เก่าจนเป็นกลายตำนานไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ หน้าร้านเล็ก ๆ ที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวเรียบง่าย และรูปแมวญี่ปุ่นที่วาดอยู่บนกระจก ซึ่งแทรกตัวอยู่ระหว่างตึกแถวเก่าอย่างขัดกับสภาพแวดล้อม จึงสร้างความประหลาดใจและในขณะเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจของเราได้อย่างมาก

เมื่อผลักประตูเข้าไปในร้าน เราก็ได้รับการต้อนรับด้วยบรรยากาศสบาย ๆ และกลิ่นหอมอาหารที่ลอยออกมาจากประตูห้องครัว ที่หลังประตูนั้นคือพ่อครัวที่กำลังขะมักเขม้นรังสรรค์เมนูจานเด็ดอย่างใส่ใจ


พอเสร็จจากการเสิร์ฟเมนูให้ลูกค้าที่มารอทานตั้งแต่ก่อนร้านเปิด พ่อครัวคนขยันที่พ่วงตำแหน่งเจ้าของร้านจึงมีเวลามานั่งคุยกับเรา และเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจและที่มาที่ไปที่ทำให้เกิด Rod Tiew & Bar (รสเตี๋ยว แอนด์ บาร์) ร้านอาหารสไตล์โฮมคุกขนาดย่อม แต่เสิร์ฟเมนูบ้าพลังกว่า 30 อย่าง ที่ทุกเมนูเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ คุณตี๋ สรวิชญ์ คูเกษมรัตน์ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง

Rod Tiew & Bar เกิดจากความอัดอั้นอยากกลับมาทำอาหารจริงจัง จากที่เคยได้มีโอกาสทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟในระหว่างที่ไปเรียนต่างประเทศ เมื่อกลับมาประเทศไทย คุณตี๋ก็เริ่มต้นกิจการร้านก๋วยเตี๋ยว Rod Tiew (รสเตี๋ยว) ที่ปัจจุบันมีหลายสาขาในกรุงเทพฯ โดยเขาอธิบายว่า เหตุผลที่เลือกก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูในการตั้งต้นตั้งตัว ก็เพราะต้องการจะโฟกัสที่เมนูเดียว เพื่อทำให้เป็นจานที่รู้ดีและทำออกมาดีที่สุด จนเมื่อธุรกิจอยู่ตัวแล้ว เขาจึงมีเวลากลับมาโฟกัสที่ความสุขของตัวเอง นั่นก็คือการสนุกไปกับการทำอาหารอย่างเต็มที่

Rod Tiew & Bar จึงเกิดขึ้นในฐานะพื้นที่ทดลองและพื้นที่ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของคุณตี๋ผ่านเมนูอาหารที่ไม่ต้องมานั่งนิยามแล้วว่าเป็นเมนูสัญชาติไหน ไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง เพราะทุกจานคือส่วนผสมที่เกิดจากการสร้างสรรค์ ทดลองด้วย และประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำอาหารมาตลอดชีวิต รวมไปถึงแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการออกไปเดินตลาดสดย่านวนวงเวียนใหญ่ในยามเช้าเป็นประจำทุกวัน เพื่อสรรหาวัตถุดิบประจำวันมาครีเอตเป็นเมนูพิเศษของวันนั้น ที่คิดวันนั้นแล้วทำวันนั้นเลย!

จานแรกที่เราได้ชิมจึงเป็นเมนู ตับปลาซอสพอนซึ ซึ่งเป็นเมนูทดลองสำหรับคุณตี๋ และเมนูลองของสำหรับเรา ที่จริงแล้วเราเป็นคนที่ไม่ถูกกับเครื่องในเลย โดยเฉพาะตับที่กินทีไรเราก็รู้สึกว่าไร้รสชาติ มีแต่กลิ่นคาว แต่ด้วยความอยากลองชิม (และอยากลองดี) เราจึงขอลองดูสักตั้ง ซึ่งพูดจากใจจริงในฐานะคนเกลียดเครื่องในเลยว่า จานนี้พลิกประสบการณ์ไม่ดีที่เรามีต่อตับไปเลย เพราะรสชาติและสัมผัสของตับปลากระพงชิ้นใหญ่ที่คุณตี๋ได้มาเป็นพิเศษจากตลาดตอนเช้ามันนุ่มเนียนละมุนลิ้นมาก ๆ รสชาติของคำแรกหายไปอย่างรวดเร็วเพราะตับปลากระพงนุ่มจนละลายในปากแบบแทบไม่ต้องเคี้ยว ซึ่งสัมผัสของตับปลาก็ทำงานร่วมกับรสชาติสดชื่นหอมหวานของซอสพอนซึที่ปรุงมากับพริกแห้งซอยได้เป็นอย่างดี จนทำให้จานนี้เป็นจานที่คนเกลียดตับอย่างเรายกให้เป็นที่สุดของประสบการณ์การลองของในมื้อนี้ (จานนี้ถ้าอยากลอง ต้องสั่งจองล่วงหน้านะ)

จานต่อมาเป็นเมนูที่พ่อครัวแนะนำ นั่นก็คือ อโรมาติกดั๊ก เมนูที่ดูหน้าตาจี๊นจีน แต่มีเสิร์ฟเฉพาะที่ประเทศอังกฤษเท่านั้น หากินไม่ได้ตามร้านอาหารจีนทั่วไป เมนูนี้เสิร์ฟมาเป็นชุด ประกอบด้วย เนื้อเป็ดส่วนสะโพกที่นำไปตุ๋นจนเปื่อยแล้วนำไปทอด แผ่นแป้งแพนเค้กจีนบาง ๆ น้ำจิ้มรสหวานและน้ำมันพริก และแตงกวากับต้นหอมซอย

เมื่อประกอบร่างเป็นคำเดียวแล้ว บอกเลยว่าทุกอย่างทำงานด้วยกันเป็นอย่างดี เนื้อเป็ดนุ่มและปรุงรสออกมาได้กลมกล่อม แต่ไม่จัดจ้านเกินไป เพราะต้องเผื่อที่ให้น้ำมันพริกทำหน้าที่ด้วย จานนี้เผลอแป๊บเดียวเราก็หมดไปแล้วหลายคำเลย

มาถึงจานเด็ดของร้านที่พ่อครัวบอกว่า ใครมาก็สั่งแทบทุกโต๊ะนั่นก็คือ คอหมูชาชู ที่คัดเนื้อหมูส่วนคอที่มีมันน้อย ๆ มาซูวีนานถึง 30 ชม. จนนุ่มแบบแทบละลายในปาก ราดด้วยซอสสูตรพิเศษของทางร้านที่หอมกลมกล่อมมาก ๆ แอบกระซิบก่อนว่า ร้านเขาเปิดถึงเกือบเที่ยงคืนและมีเบียร์เสิร์ฟด้วยนะ เพราะฉะนั้นจานนี้ควรสั่งมาทานคู่กับเบียร์ เป็นมื้อฟรายเดย์ไนต์กับเพื่อนคือดีขั้นสุด!

สำหรับสายเนื้อห้ามพลาดจานนี้ เนื้อวากิวซอสครีมทรัฟเฟิล ที่ส่วนของเนื้อไม่ต้องพูดให้มากความ เพราะขึ้นชื่อว่าเนื้อวากิว บวกกับฝีมือการทำเนื้อในความสุกระดับที่มีตเลิฟเวอร์เท่านั้นจะรู้กัน เนื้อวากิวจานนี้จึงทำออกมาได้เพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ แต่ส่วนที่เราประทับใจมาก ๆ ก็คือซอสครีมทัฟเฟิลที่เข้มข้นรสชาติหนักแน่นสุด ๆ พอจิ้มชิ้นเนื้อชุ่มซอสเข้าปากแล้วกลิ่นของทรัฟเฟิลก็อบอวลเต็มปากแบบไม่ต้องให้สับสนว่าทรัฟเฟิลจริงมั้ย จานนี้เขาเสิร์ฟคู่กับข้าวผัดกระเทียมและสลัดมาเป็นเครื่องเคียง ใครสั่งเมนูนี้มาทานคนเดียวบอกเลยว่ามีจุก แต่สำหรับใครที่เป็นสายเนื้อเพียว ๆ ทางร้านก็ยังมีเมนูสเต็กเนื้อทานคู่กับเกลือที่ทำให้ได้รับรสชาติของเนื้อเต็ม ๆ ในแต่ละคำด้วย

อีกจานหนึ่งที่พ่อครัวเขาเตือนไว้ก่อนว่า ใครไม่ชอบมันปูก็อาจจะไม่ชอบจานนี้ไปเลย กับเมนู คานิมิโซะพาสต้า หรือพาสต้าซอสมันปู ซึ่งพอชิมแล้วก็เข้าใจที่เขาเตือนไว้ก่อนชิมเลยล่ะ จานนี้คือจัดจานเข้มข้น (จนอยากอุทานออกมาเป็นภาษาวัยรุ่นว่า เจ้มจ้นมากแม่!) ซอสมันปูคือหวานและกลมกล่อมครีมมี่ ให้ความรู้สึกดีมาก ๆ ในทุกคำที่ตักเข้าปาก มันปูที่มีรสชาติหวานอยู่แล้วพอตีไข่ดิบที่ตอกใส่มาในจาน แล้วคนผสมคลุกเคล้ากับเส้นที่ลวกมาได้กำลังดี ก็ทำให้ตักกินได้แบบไม่เลี่ยน เป็นรสสัมผัสที่เราอยากแนะนำรัว ๆ สำหรับสายมันปู

จานสุดท้ายที่เราเชื่อใจพ่อครัวให้เลือกให้มาให้ชิมก็คือ ไก่แช่เหล้า ที่ใช้เนื้อส่วนอกไก่มาแช่ในเหล้าจีน 3 ชม.เต็ม จนทำให้อกไก่ที่ปกติจะแห้งและกระด้างลิ้น กลายเป็นเนื้อไก่ที่นุ่มและชุ่มฉ่ำด้วยเหล้าจีนที่ปรุงรสมาอย่างกลมกล่อม เพิ่มความร้อนแรงด้วยซอสพริกเแห้งที่เสิร์ฟมาคู่กัน อาจต้องมีสั่งอีกจาน

Soimilk Says: ใครที่เป็นสายกินที่ชอบทดลองเมนูรังสรรค์ของเชฟ ก็อยากให้มาลองของลองชิมเมนูของร้านเล็ก ๆ แต่ความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยมแห่งนี้ เราว่าวันนี้พี่เขาไปตลาด ก็คงได้วัตถุดิบกลับมาทดลองเมนูใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกล่ะ ที่สำคัญ เนื่องจากร้านค่อนข้างเล็ก ที่นั่งจำกัด แถมมีพ่อครัวคนเดียว ทำคนเดียว บางทีก็เสิร์ฟคนเดียวด้วย ก็ขอให้ใจเย็น ๆ อดทนรอสักนิด หรือทางที่ดีที่สุดก็คือโทรจองล่วงหน้า หรือจะโทรเข้าไปสอบถามกับว่าวันนี้พ่อครัวได้อะไรมาจากตลาดและมีเมนูพิเศษอะไรบ้างก็ได้นะ จะแวะมามื้อเย็นหรือมาดื่มพร้อมกับกับแกล้มเด็ด ๆ ไม่ว่าแบบไหนก็ขอแนะนำให้มาลองจ้า