หลังจากที่เปิดตัวให้เรารู้จักกันมาได้สักพัก แหล่งพบปะใหม่อย่าง ช่างชุ่ย ก็ยังมีอะไรเพิ่มเติมให้เรากลับไปหาอีกเรื่อยๆ และตอนนี้ที่ช่างชุ่ยก็มีมุมอาหารอร่อยๆ อีกแห่งที่เราอยากจะบอกต่อ
ร้านอาหารที่ว่าก็คือ One Ounce at Chang Chui

แน่นอนว่าใครที่เป็นคอกาแฟคงจะคุ้นกับชื่อนี้ เพราะ One Ounce for Onion คือหนึ่งในร้านกาแฟดีๆ ในย่านเอกมัยที่เป็นทั้งร้านกาแฟ และร้านขายของแฟชั่นภายใต้แบรนด์ Onion ซึ่งมีตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงแว่นตา รองเท้า และ accessory ต่างๆ
แต่สำหรับสาขาที่ช่างชุ่ยแห่งนี้จะแตกต่างจากที่เอกมัยตรงที่ที่นี่จะจริงจังเรื่องอาหารการกินขึ้นมาอีกขั้น โดยทาง One Ounce ได้เชฟมือดีอย่างคุณออย-ลลิสรา บุตรวงษ์ ที่บ่มฝีมือการทำอาหารมาจากออสเตรเลีย และคุณแทน-ภากร โกสิยพงษ์ ซึ่งเคยทำงานที่ร้านมิชลินที่สเปนอย่าง Azurmendi มาแล้ว

ได้อย่างไม่ต้องเสียอย่าง
จุดเริ่มต้นของร้านคือการที่ทาง One Ounce อยากจะมีร้านอาหารที่เสิร์ฟทั้งกาแฟดี และอาหารอร่อยไปด้วย เพราะที่ผ่านมา คาเฟทั้งหลายมักจะไม่มีอาหารจริงจังให้กิน ก็เลยมอบหมายให้เชฟออย ทำงานร่วมกับเชฟแทนทำคอนเซ็ปต์ร้านอาหารขึ้นมาใหม่จนออกมาเป็น Onen Ounce at Chang Chui
“อาหารของผมไม่ได้บอกว่าเป็นแนวไหน สัญชาติอะไร แต่มาจากประสบการณ์ของผมเองที่ออกเดินทางไปชิมอาหารตามประเทศต่างๆ และดึงมารวมกันคล้าย mess hall” เชฟแทนอธิบายให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการทำอาหารซึ่งเกิดจากการที่เชฟเดินทางไปท่องเที่ยวและทำงานตามก้นครัวประเทศต่างๆ รวมทั้งที่ Azurmendi ร้านระดับมิชลิน 3 ดาวของสเปนที่เชฟไปอยู่มาครึ่งปีก่อนมาอยู่ที่ Azurmendi สาขาพังงาอยู่อีก 2 ปีกว่า

เพราะความชอบเดินทางไปชิมอาหารตามประเทศต่างๆ ที่เดินทางเที่ยว อาหารของเชฟเลยเป็นเหมือนการผสมความอร่อยของอาหารจากประเทศหนึ่งที่น่าจะเกิดมาคู่กับอีกประเทศทำให้ได้รสชาติที่เข้ากัน อาหารเลยออกมาเป็นการผสมผสานระหว่างจานเด็ดของประเทศหนึ่งมากินร่วมกับอีกประเทศ
“เหมือนผมจับอาหารสองประเทศมาแต่งงานกัน” เชฟสรุปให้ฟังแบบง่ายๆ
คู่รักต่างแดน
แม้เชฟจะจับอาหารต่างสัญชาติมาผสม แต่อาหารจานแปลกตาเหล่านี้กลับรสชาติเข้ากัน แถมยังเสิร์ฟจับคู่กับม็อกเทลอร่อยๆ ที่ช่วยเสริมรสกันถึง 4 ตัว ยกตัวอย่างเช่นเมนู Dirty Birds (180 บาท) ที่นำไก่มาทอดกรอบแล้วราดด้วยน้ำซอสหวานโรยด้วยถั่ว เสิร์ฟพร้อมมะนาวที่เพิ่มก็ทำให้รสเปลี่ยนไปอีกแบบ เครื่องดื่ม E-sarn Classic ที่มีส่วนผลมของตะไคร้ ใบมะกรูด และข่า ก็ช่วยส่งกลิ่นสมุนไพรหอมๆ เข้าไปตามหลัง

Dirty Birds

E-sarn Classic
ถ้าใครชอบอาหารทะเลก็แนะนำลูกครึ่งอย่าง The Chinglish Baby in Seoul City (300 บาท) ที่นำเอาอาหารทะเล และ gnocchi ปั้นมือไปคลุกกับซอสพริกโคชูจังแบบเกาหลีแต่ใส่พริกเสฉวน รสออกหวาน โรยด้วยขนมปังครัมเบิล จิบคู่กับม็อกเทลสีหวานแต่แกลมอย่าง Lady Yaowarat (140 บาท) ที่มีเบสเป็นน้ำทับทิมท็อปด้วยทองคำเปลวบนเจลลีพุทราจีน ก็กลมกล่อมไม่แพ้กัน

The Chinglish Baby in Seoul City

Lady Yaowarat
เน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น
แม้หน้าตาอาหารจะดูโมเดิร์น แต่หากมองลึกลงไปในวัตถุดิบที่ใช้แล้ว เชฟจะเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นด้วยความเชื่อว่า วัตถุดิบที่หาได้ตามท้องถิ่นนั้นเหมาะสมกับร่างกายของพวกเราที่เติบโตมากับอาหารเหล่านี้ และวัตถุดิบของเราก็ดีไม่แพ้ตะวันตกเหมือนกัน
“จริงๆ แล้วร่างกายเรากินอาหารนำเข้ามากไปไม่ค่อยดี เพราะจุลินทรีย์ที่อยู่ในอาหารของเมืองนอกนั้นไม่เข้ากับร่างกายของเรา อย่างเช่นนม ถ้าใครไม่เคยกินมาก่อน ก็จะท้องเสีย ฉะนั้นผักไทย ของไทยก็จะเหมาะกับเรามากที่สุด” เชฟแทนเผย

ใบแว่นแก้วที่เชฟปลูกเองหลังร้าน
นอกเหนือจากวัตถุดิบแล้ว เชฟยังแพลนจะทำอาหาร 6 คอร์สหมุนเวียนอาหารไปนอกเหนือจากอาหารจานหลักในเดือนกันยายนนี้ โดยจะมีคอนเซปต์เป็นอาหารจากความทรงจำของเชฟตั้งแต่เด็กจนโต เช่นโจ๊กสูตรเด็ดของครอบครัวที่มาผสมกับเทคนิคสมัยใหม่ หรือจะเป็นอาหารจานเนื้ออย่าง The Morning after ที่นำหางวัวตุ๋นแบบสเปนมากินกับมันหวานแบบที่เชฟเคยไปกินที่เวียดนามตอนเดินทางเที่ยวซาปา เคล้ากรีกโยเกิร์ตยิ่งช่วยตัดรสกลมกล่อมพอดี

The Morning after
นอกจากอาหารแล้ว เชฟก็ยังมีขนมไว้ปิดท้ายให้กับมื้ออาหารที่นี่ด้วย โดยเราได้ลองกินทีรามิสุ 3 ชั้นที่เสิร์ฟกับกาแฟจากอำเภอจอมทองในเชียงใหม่ที่หอมเข้มข้นมาก โดยเชฟเองยังคำนึงเรื่องกายใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่าที่สุด เช่นจานเมอแรงที่เชฟใช้ขอบขาวของมะนาวที่ปกติจะทิ้งแล้ว มาบดทำครีมเปรี้ยวไว้กินตัดหวานของเมอแรง แถมช่วงนี้ใครไปแล้วสั่งอาหาร 2 อย่าง เชฟใจดีเสิร์ฟขนมให้ฟรีเลย 1 จาน (แต่ต้องไปก่อนสิ้นเดือนนะ)

เมอแรงมูสมะนาวและใบแว่นแก้ว

ทีรามิสุกาแฟจอมทอง
ส่วนผสมที่ลงตัว
ที่เราชอบโซนนี้อีกอย่างคือเป็นการรวมสามสิ่งเข้าไว้ด้วยกันอย่างหาได้ยากนั่นคือ กาแฟ หนังสือ และอาหารอร่อย คอกาแฟแน่นอนว่ายังคงสามารถกินกาแฟดีๆ แบบที่เคยได้ทานกันที่ One Ounce for Onion เพิ่มเติมคือความดีงามของร้านที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกับ Booksmith ร้านหนังสือชื่อดังจากเชียงใหม่ที่ลง

ที่นี่ขนหนังสือมาขายมากมายหลากหลายแนว ทั้งหนังสือไทย และนิตยสารต่างประเทศหาซื้อยาก (เราตื่นเต้นกับการเจอ Lost นิตยสารท่องเที่ยวจากจีน ขวัญใจนักเดินทางยุคมิลเลนเนียลทั่วโลกที่ทางร้านนำเข้ามาขายด้วย) ไม่นับรวมเครื่องเขียนจาก Lamune และหนังสืออีกนานาชนิด ทำให้เรารายล้อมไปด้วยหนังสือที่เราอยากอ่านทั้งวัน


กาแฟดริปในแก้วบรั่นดี
ใครที่สะดวกไปลองตอนไหนก็ลองจัดเวลาดู
ช่างชุ่ย (โซนหย่อนญาณ) 460/8 ถ.สิรินธร แขวง/เขตบางพลัด โทร. 089-776-2210 เปิด 11:00-23:00 น. www.fb.com/oneounceforonion