เราคงกล่าวได้ว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่แสนใจกว้าง ถ้าดูจากการโอบรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามามากมาย อย่างเรื่องอาหารที่มีมาจากทั่วโลก โดยเราสามารถหาร้านอาหารชาติต่าง ๆ รสชาติดั้งเดิมได้ตามตรอกซอกซอยทั่วไป แม้อาหารไทยจะอร่อยอยู่แล้ว แต่ด้วยสปิริตการกินของคนไทยที่ไม่เคยหยุดที่สิ่งเดิมสิ่งเดียว ทำให้หลายคนอดใจไม่ไหว ต้องไปตะลุยร้านรวงทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้ได้เจอกับเมนูถูกใจขึ้น ๆ ไปอีก และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็เพิ่งจะมีร้านอาหารตำรับอินเดียใต้นาม Jhol (โจฮ์ล) เข้ามาเปิดสาขาแรกให้เราได้ลิ้มชิมรสจากสูตรอาหารของเชฟระดับโลก

ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าร้านอาหารอินเดียทั่วไปในประเทศไทยส่วนมากจะทำอาหารอินเดียตอนเหนือ ยังไม่ค่อยมีทางใต้เท่าไหร่ ซึ่งถ้าจะพูดถึงลักษณะของอาหารอินเดียใต้แล้ว เราก็คงนิยามได้ง่าย ๆ ว่าเป็นอาหารที่ประกอบด้วยเครื่องแกงแสนเผ็ดร้อน และมีความมันน้อยกว่า เฮลตี้กว่า หากเทียบกับอาหารอินเดียทั่วไป ซึ่งจานเด็ดที่เสิร์ฟในร้านต่างก็ผ่านการคิดค้น ผสมความโมเดิร์นเข้ากับวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านอินเดียใต้ ใครที่เป็นมือใหม่อยากลองอาหารอินเดีย บอกเลยว่ามาร้านนี้ ทานง่าย ถูกปากแน่นอน

ที่สุดแห่งความพรีเมียมคงมาจากหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของร้าน Hari Nayak เชฟอินเดียผู้เป็นนักเขียนตำราอาหารและคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วหลายเวที ซึ่งสูตรอาหารของเขาก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารบ้านเกิด แถบชายฝั่งตอนใต้ของประเทศ แต่ละจานจึงถูกปรุงด้วยวัตถุดิบหลักอย่างอาหารทะเลสด ปลา กุ้ง หอย และปู โดยเขาได้นำสูตรอาหารดั้งเดิมมาดัดแปลงให้ถูกปากคนที่ไม่คุ้นกับอาหารอินเดียยิ่งขึ้น สร้างความแปลกใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของรสชาติแบบอินเดียแท้ ๆ ไว้ด้วย

ร้านแห่งนี้ซ่อนอยู่ในซ.สุขุมวิท 18 ประดับประดาด้วยลวดลายสไตล์อินเดีย เติมความโมเดิร์นด้วยโต๊ะ เก้าอี้ และโคมไฟ แบ่งเป็นโซนชัดเจนระหว่างโซนบาร์กับโต๊ะอาหาร จะมาจิบเครื่องดื่มชิลล์ ๆ หรือมาจัดมื้อหนักยกครอบครัวก็ตอบโจทย์ไปหมด


เริ่มต้นกันที่ Pani Puri (290 บาท) ออร์เดิฟพอดีคำที่มีวิธีกินสุดแปลกคือการเทน้ำเสาวรสลงไปในแป้งแล้วทานในคำเดียว จะได้ความเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดตัดกับความมันของอะโวคาโดบด จากนั้นเราได้ลองเมนูที่หนักท้องขึ้นอย่าง Masala Maska Bun (190 บาท) ขนมปังมันฝรั่งอบใหม่ ๆ หอมกรุ่นกับรสสัมผัสเหนียวนุ่ม ปาดด้วย Pav Baji Butter เนยผสมแกง



มาถึงจานหลักจานเด็ด Spicy Prawns Koliwa (470 บาท) รับประกันความสดของกุ้งที่สุดเด้งคลุกกับพริกสุดเผ็ด Red Chili จิ้มกับโยเกิร์ตด้านล่างช่วยลดทอนความเค็ม ต่อมาที่ Ghee Roast Chicken (520 บาท) ให้เราได้ใช้มือฉีกแป้งที่ขึ้นรูปมาเป็นซุ้มทานกับไก่อบซอสมาซาลา และจานสุดท้าย Vegetable Avial (390 บาท) รวมผักชุบแป้งทอดราดด้วย Kerala Style Sauce ที่ทำให้เราหวนคิดถึงแกงเขียวหวานบ้านเรา



มาที่ฝั่งบาร์กันบ้าง บาร์ที่นี่จะใช้ส่วนผสมท้องถิ่นของไทยนำมาชงสไตล์อินเดีย เปิดมาด้วย Mehkong Whisky (380 บาท) ที่นำกล้วยมาซูวีด์กับวิสกี้ แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมใบเตย โดยเขาจะมีขนมแกล้ม เพื่อดึงรสสัมผัสออกมาได้ทุกมิติ ถัดมากันที่ Meraki (380 บาท) ที่เบสวอดก้า เติมด้วยน้ำส้มยูสุและน้ำมะละกอ ดื่มง่าย อินเนอร์นางเอกมาก ๆ ส่วนแก้วสุดท้าย Gandhari (180 บาท) ม็อกเทลน้ำลิ้นจี่รสเบา ๆ ตัดด้วยรสเปรี้ยวของมะนาวอย่างลงตัว ท็อปด้วยความหอมของโฟมดอกจำปา ถือเป็นแก้วที่โดดเด่นมีชั้นเชิงดีจริง ๆ

ปิดท้ายมื้อที่แสนเลิศเลอเพอร์เฟกต์นี้ด้วยของหวานสุดน่ารัก Mango Kulfi (290 บาท) ไอศกรีมมะม่วงหอมหวานที่วางครีมมะนาวมาเป็นไซด์ดิชย่อม ๆ เพิ่มเท็กซเจอร์ความกรุบกรอบด้วยครัมเบิล ที่นอกจากจะทำให้เมนูนี้สวยขึ้นกล้องพร้อมอัปลงอินสตาแกรมขึ้นแล้ว รสสัมผัสโดยรวมยังกลมกล่อมเข้ากั๊นเข้ากันขึ้นอีกเยอะเลยด้วย บอกเลยว่า Jhol นำเสนอความเป็นอินเดียใต้กบคนที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารอินเดียอย่างเราได้เฟรนด์ลี่มาก ๆ เป็นการเจอกันครั้งแรกที่ประทับใจจริง ๆ
Jhol ซ.สุขุมวิท 18 เวลาทำการ ทุกวัน 18:00-22:00 น. โทร. 02-004-7174 BTS อโศก fb.com/JHOLbkk