'นาฏกรรมแห่งชีวิต' น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ใช้อธิบายผลงานของผู้กำกับชาวสวีดิช รอย แอนเดอร์สสัน ได้ดีที่สุด เพราะหนังของเขาล้วนมุ่งสะท้อนภาพความทุกข์ยากของมนุษยชาติ อันเกิดจากข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ทำให้ตัวละครไม่สามารถแสดงออกถึงตัวตนได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม โดยที่แต่ละฉากถูกจัดวางองค์ประกอบราวกับเป็นฉากจากละครเวที ส่วนตัวละครหรือคนในภาพก็ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไปโดยไม่ได้ตระหนักถึงการที่ตัวเองก็ถูกจัดวางหรือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางนั้น

ในเดือน ส.ค. นี้ เราก็กำลังจะได้รับชมผลงานล่าสุดของแอนเดอร์สสันที่มีชื่อว่า About Endlessness ที่ยังคงลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไว้ทุกประการ ซึ่งเราก็ไม่สามารถให้คำจำกัดความหรือเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ได้ เพราะสิ่งที่เราจะได้ไปรับชมกันจะเป็นประสบการณ์หลากหลายที่ไม่เกี่ยวข้องคล้องจองกัน แต่ผูกพันกันไว้ด้วยการเป็นภาพสะท้อน 'ชีวิต' เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่ลอยไปเรื่อย ๆ บนท้องฟ้า เหนือซากปรักหักพังย่อยยับของเมืองที่เผชิญหน้ากับสงคราม พ่อผู้หยุดก้มลงผูกเชือกรองเท้ากลางสายฝนให้ลูก กลุ่มเด็กสาวที่ร้องรำทำเพลงอยู่หน้าร้านอาหาร และกองทัพที่เพิ่งผ่านความพ่ายแพ้ โดยที่จะเข้าฉายแบบเอ็กซคลูซีฟที่ House Samyan ที่เดียวที่เดิม

แต่ก่อนจะไปนั่งตะลึงเหวอในโรงหนังด้วยกัน เราอยากชวนทุกคนมาสำรวจสุนทรียะของการสร้าง 'ละครคน' ของผู้กำกับรางวัลสิงโตทองคำคนนี้ด้วยกัน เป็นการเตรียมตัวเตรียมใจก่อนเข้าไปเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดในหนังเรื่องนี้
Living Trilogy

ผลงานสร้างชื่อของแอนเดอร์สสันก็คือไตรภาคที่มีชื่อว่า Living Trilogy ซึ่งล้วนมีใจความหลักร่วมกันในการนำเสนอจ้อจำกัดของการเป็นมนุษย์ ไล่มาตั้งแต่ Songs from the Second Floor (Sånger från andra våningen, 2000), You, the Living (Du levande, 2007), and A Pigeon Sat on a Branch Reflecting on Existence (En duva satt på en gren och funderade på tillvaron, 2014) ซึ่งเมื่อแรกเข้าฉาย หนังทั้งสามเรื่องก็ล้วนสร้างความเหวอให้กับผู้ชมมาแล้ว แต่นั่นก็คือความตั้งใจของผู้กำกับที่จะสร้างประสบการณ์ความแปลกแยกระหว่างผู้ชมกับภาพตรงหน้า เป็นเหมือนตลกร้ายขำขื่นที่คนดูอย่างเรากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับภาพสะท้อนชีวิตของมนุษย์ หรือความเป็นมนุษย์
ว่าด้วยความเป็นมนุษย์

พื้นเพของแอนเดอร์สสันที่เติบโตขึ้นมาจากครอบครัวชนชั้นแรงงานและมุมมองทางการเมืองฝั่งซ้าย ทำให้เขาตั้งเป้าที่จะเป็นกระบอกเสียงสำหรับเหล่าผู้ไร้อำนาจและถูกกดขี่ โดยใช้หนังเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดอุดมการณ์เหล่านั้น เขาจึงมักนำเสนอตัวละครที่ตกอยู่ในวังวนของความสิ้นหวัง หรือตัวละครที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกดิสโทเปีย ที่ความเป็นมนุษย์ถูกมองข้ามละเลย โดยที่เหล่าผู้ละเลยก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์กรและสถาบันต่าง ๆ ในสังคมนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ศาสนา สถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมหนังเอง
มนุษย์ใน Complex Image

Complex Image คือสุนทรียศาสตร์บนแผ่นฟิล์มที่แอนเดอร์สสันสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดอุดมการณ์ โดยลักษณะของ Complex Image ที่ว่านี้ก็คือการสร้างความดรามาติกให้กับภาพช็อตนิ่ง ๆ ที่ตั้งกล้องถ่ายแช่ไว้นาน ๆ องค์ประกอบทุกอย่างในภาพถูกจัดวางแบบเนียบกริบ และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่องค์ประกอบทุกอย่างในฉากนั้นถูกทำให้อยู่ในโฟกัสของผู้ชมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ
ในแง่ของตัวละคร ตัวละครทุกตัวในฉากนั้น ๆ แทบจะไม่เคลื่อนไหว จนดูราวกับพวกเขาไม่ได้มีชีวิต กล้องถูกตั้งแช่ไว้เนิ่นนานโดยไม่มีการเปลี่ยนมุมภาพ เรื่องราวในหนังไม่ได้ดำเนินเรื่องแบบนำเสนอต้นเหตุและปลายทางของการกระทำแบบที่เราคุ้นเคย ทั้งหมดนี้เพื่อจะนำเสนอสังคมที่ไร้ชีวิต โดยระหว่างที่ผู้ชมกำลังจ้องมองสังคมอันไร้ชีวิตนี้... ผู้ชมก็หมือนกับกำลังจ้องมองไปที่กระจกที่สะท้อนภาพเงาของตัวเองกลับมา


About Endlessness เข้าโปรแกรมฉายที่ House Samyan 12 ส.ค.
