Skip to main content
AdSense

Paris, Texas เมื่อความทรงจำหนักหนาเกินกว่าจะ “ทิ้ง” ไป และหัวใจฉันยังคงสูบฉีดด้วยเรื่องราวของเรา

มูฟออนไม่เป็นมาตั้งแต่ปี 1984
 

Paris, Texas เมื่อความทรงจำหนักหนาเกินกว่าจะ “ทิ้ง” ไป และหัวใจฉันยังคงสูบฉีดด้วยเรื่องราวของเรา
January 10, 2020 Bangkok time
"ผมรู้จักชายหญิงคู่หนึ่ง พวกเขารักกัน เธอยังเด็กเหลือเกิน ส่วนเขาก็แก่กว่า เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ส่วนเธอเป็นคนสวยมาก เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาทำให้ทุกสิ่งเป็นเหมือนการผจญภัย เขาชอบทำให้เธอหัวเราะ เขารักเธอมากจนไม่คิดว่าจะรักได้มากขนาดนั้น เขาทนไม่ได้ที่จะต้องจากเธอ เขาทุ่มเทตัวเองให้กับเธอ แต่เขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่า... เธอเริ่มเปลี่ยนไป"
 
ประโยคข้างต้นน่าจะเป็นการสรุปเรื่องราวระหว่าง แทรวิส และ เจน ตัวละครใน Paris, Texas หนังหัวใจสลายปี 1984 ของผู้กำกับ วิม เวนเดอร์ส ได้เป็นอย่างดี ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ได้บอกเล่าแค่เรื่องราวของคู่รักร้างอย่างแทรวิสและเจนเท่านั้น แต่อาจจะใช้บอกเล่าเรื่องราวความรักอันล่มสลายของใครอีกหลายคู่... เรื่องราวที่เริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยคนสองคนที่รักกัน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความรักของสองเรากลายเป็นเรื่องของฉันคนเดียว แล้วจากความรักก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว
 
 
เกือบ 4 ทศวรรษนับจากที่ Paris, Texas ออกฉายสู่สายตาผู้ชม แล้วคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1984 มันยังคงเป็นที่พูดถึงและขึ้นแท่นเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคนอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า Paris, Texas เป็นหนังที่ทำงานกับคนดูได้อย่างข้ามกาลเวลา และในวันที่ 16 ม.ค. นี้ Paris, Texas ก็จะกลับมาตอกย้ำความเป็นหนังดีข้ามเวลาที่โรงภาพยนตร์ House Samyan ซึ่งจะฉายในโปรแกรมหนังคลาสสิก หลังจากที่โรงหนังอินดี้อย่าง Bangkok Screening Room เคยหยิบมาฉายไปแล้ว
 
ก่อนที่จะพูดถึงหนัง เราขอแชร์ประสบการณ์ที่เราได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้สักหน่อย ครั้งแรกที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนเรียนจบใหม่ ๆ ความประทับใจหลังหนังจบคือการใช้ทัศนียภาพอันรกร้างกว้างไกลของรัฐเท็กซัสมาเป็นองค์ประกอบในการบอกเล่าความอ้างว้างของตัวละครได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการจับคู่สีในแต่ละฉาก ที่ดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ก็ช่วยขับเน้นอารมณ์ของตัวละครให้ชัดเจนขึ้นด้วย 
 
 
 
 
แต่เมื่อเวลายิ่งผ่านนานไป เราพบว่าตัวเองยังคงย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวและชะตากรรมของตัวละครใน Paris, Texas อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็คือประสบการณ์ที่หนังเรื่องนี้มอบให้กับคนดู Paris, Texas เป็นหนังที่ต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตเพื่อที่จะรู้สึกเชื่อมโยงกับหนัง เพราะนี่คือหนังที่เล่าเรื่องราวของเหตุการณ์หนึ่ง ที่เบ่งบาน งดงาม ผ่านความวินาศ และพังทลายลงไปแล้ว แต่เมื่อใช้ชีวิตมาได้สักระยะ เราจะรู้ซึ้งกันดีว่า สิ่งที่ทิ้งบาดแผลไว้ให้เราอย่างรุนแรงมากที่สุดไม่ใช่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่จบลงไปแล้ว และเรารู้ตัวดีว่าการย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำให้มันดีขึ้น เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์อย่างเรา สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงแค่การใช้ชีวิตต่อไป โดยต้องยอมรับให้ได้ว่าเราจะแหว่งวิ่นและมีรอยแผลไปตลอดกาล
 
และนั่นก็คือสถานการณ์ที่ตัวละครใน Paris, Texas ต้องเผชิญ
 
 

ลืมไม่ได้

 

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งศาสตร์จิตวิเคราะห์ ได้จำแนกกระบวนการในการจัดการกับความสูญเสียของมนุษย์ไว้ 2 แบบ คือ การไว้อาลัย (Mourning) และ การโศกเศร้าตรอมใจ (Melancholy) โดยฟรอยด์กล่าวว่า การไว้อาลัยเป็นกระบวนการจัดการกับการสูญเสียที่ 'เฮลตี้' ต่อชีวิต เพราะการไว้อาลัยเป็นการยอมรับต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น จะร้องไห้ คร่ำครวญ นั่งใต้ฝักบัว ฟังเพลงเศร้า หรือลางานไปเที่ยวพักใจ ก็ถือเป็นกระบวนการไว้อาลัยที่คนที่ประสบการสูญเสียเลือกที่จะทำ เพราะเชื่อว่าเมื่อทำแล้วจะ ‘มูฟออน’ หรือก้าวต่อไปได้ รวมถึงยังเชื่อว่าการกระทำนั้น ๆ จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่สูญเสียไป (การทิ้งของของตัวละครใน ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ก็สะท้อนกระบวนการไว้อาลัย คือโยนทิ้งของที่ปนเปื้อนความทรงจำร้าว ๆ ทิ้งไป ด้วยความเชื่อว่า จะได้เปิดพื้นที่ในบ้านและในชีวิตให้กับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา) 
 
แต่การเศร้าโศกตรอมใจเป็นสภาวะตรงข้าม มันคือสภาวะที่ผู้สูญเสียเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มหรือทดแทนสิ่งที่สูญหายไปได้ การสูญเสียในสภาวะตรอมใจคือการที่ตัวตนบางส่วนของเราได้สูญสลายหายไปกับสิ่งสิ่งนั้น ผู้สูญเสียจึงจมจ่อมอยู่ในสภาวะนั้น ๆ ไม่สามารถมูฟออน และที่แย่กว่านั้นคือปฏิเสธการมูฟออนด้วยซ้ำ เพราะมองว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร ชีวิตจะไม่มีวันเหมือนเดิม เพราะตัวตนบางส่วนของเราได้หายไปกับสิ่งนั้นตลอดกาล และเราต้องใช้ชีวิตไปกับความหว่างเปล่าหรือช่องว่างโหวงนั้น
 
แทรวิสคือตัวละครที่สะท้อนสภาวะการโศกเศร้าตรอมใจ เขาสูญหายไปจากครอบครัวนานถึง 4 ปี เมื่อน้องชายหาเขาจนพบ แทรวิสกลายเป็นคนเร่รอนในทะเลทราย เขาท่องไปอย่างอย่างไร้จุดหมายในพื้นที่รกร้างของเทกซัส ไม่หลงเหลือความทรงจำใด ๆ หลงลืมไปแม้กระทั่งวิธีการพูดสื่อสารกับผู้คน แต่คนที่ค่อย ๆ พาเขากลับมาเชื่อมต่อกับครอบครัวและสังคมอีกครั้งก็คือ ฮันเทอร์ ลูกชายที่น้องชายของเขารับดูแลหลังจากที่เขาหายตัวไป 
 
 
 
เมื่อตัวตนของแทรวิสกลับมา เราเหล่าผู้ชมจึงค่อย ๆ ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ทำให้เขาวิ่งหนีไปจากครอบครัวและตัวของเขาเองก็คือ ความล่มสลายของความรักที่นำไปสู่การพังทลายของครอบครัวที่เขาเคยมีร่วมกับ เจน ภรรยาสาวอายุยังน้อยของเขา และส่วนสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์นั้นส่งผลร้ายแรงต่อแทรวิส ก็เพราะว่าตัวเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมแห่งครอบครัว ในตอนท้ายของเรื่องที่แทรวิสได้มีโอกาสพบกับเจนอีกครั้ง เขาบอกว่า หลังเหตุการณ์สะเทือนใจที่ทำให้เขากับเจนและฮันเทอร์ต้องพลัดพรากจากกัน เขาก็ออกวิ่งข้ามวันข้ามคืนอย่างไร้จุดหมาย หวังเพียงจะได้พบกับสถานที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครรู้จัก ทำให้เขาไร้ตัวตน เป็นสถานที่ที่ไม่มีแม้กระทั่งถนนหรือภาษา
 
แท้จริงแล้วสิ่งที่แทรวิสพยายามวิ่งหนีก็คือตัวเขาเอง แต่ไม่เคยหนีพ้น โดยการเร่ร่อนไปในทะเลทรายเป็นเพียงภาพสะท้อนของการติดอยู่ในวังวนของความสูญเสียเท่านั้น และพื้นที่ว่างเปล่าในทะเลทรายก็คือตัวตนของแทวิสที่ไม่มีวันได้รับการเติมเต็มได้
 
 

จำไม่ลง

 
ในขณะที่แทรวิสพยายามจะวิ่งหนีจากตัวเอง เจนกลับหลอกหลอนตัวเองด้วยความทรงจำถึงแทรวิสตลอดเวลา
 
"ฉันได้ยินเสียงของคุณตลอดเวลา เสียงผู้ชายทุกคนกลายเป็นเสียงของคุณ" คือประโยคที่เจนกล่าวกับแทรวิสหลังจากที่ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง (และเป็นประโยคเด็ดของหนัง) 
 
ทั้งแทรวิสและเจนต่างมีชะตากรรมร่วมกัน คือการยังคงติดอยู่ในวังวนของความทรงจำอันเจ็บปวด ทั้งที่พยายามวิ่งหนีหรือสลัดทิ้งไปแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถ 'มูฟออน' หรือหนีจากเงื้อมมือของการหลอกหลอนของความทรงจำไปได้ 
 
 
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเจนอาจจะแตกต่างจากแทรวิส ในแง่ที่ว่า ขณะที่แทรวิสพยายามวิ่งหนีจากตัวตนของเขาเอง เจนกลับเกาะเกี่ยวตัวตนของแทรวิสเอาไว้อย่างไม่อาจต้านทานได้ เพราะความโหดร้ายที่เราปุถุชนทุกคนรู้กันดีก็คือ เมื่อเรื่องราวใด ๆ ได้ฝังตัวในจิตใจจนกลายเป็นเป็นความทรงจำ เรื่องราวเหล่านั้นจะติดตัวเราไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปตลอดกาล ในสถานการณ์ของเจน แม้ว่าแทรวิสจะเคยเป็นปีศาจร้ายที่ทำให้ทั้งตัวตนและครอบครัวที่พวกเขาเคยมีร่วมกันต้องพังทลาย แต่สุดท้ายเจนก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า แม้เธอไม่อยากจำ แต่ความทรงจำถึงแทรวิสก็ได้หลอมรวมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอไปเรียบร้อยแล้ว และเขาจะอยู่กับเธอไปในทุกขณะการเต้นของหัวใจ เพราะตัวตนของแทรวิสได้มีชีวิตอยู่ในตัวตนของเจน
 
 
Paris, Texas จึงเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวอันเรียบง่ายแต่มีอานุภาพทำร้ายหัวใจอย่างบาดลึก มันว่าด้วยความโหดร้ายของความทรงจำ ที่ไม่ว่าเราจะพยายามสลัดมันทิ้งหรือวิ่งหนีจากมัน แต่มันกลับแฝงฝังอยู่ในหลืบซอกในห้วงจิตใจ ซึ่งเป็นไปได้ว่า เราอาจะยอมให้มันอยู่ตรงนั้น เพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว
 
ถ้าอยากพิสูจน์ว่าความทรงจำทำร้ายเราได้ขนาดไหน เชิญไปพบกันที่ House Samyan วันที่ 16 ม.ค. นี้ แล้วหัวใจสลายไปด้วยกัน
AdSense
AdSense
AdSense