"ผมรู้จักชายหญิงคู่หนึ่ง พวกเขารักกัน เธอยังเด็กเหลือเกิน ส่วนเขาก็แก่กว่า เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ส่วนเธอเป็นคนสวยมาก เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาทำให้ทุกสิ่งเป็นเหมือนการผจญภัย เขาชอบทำให้เธอหัวเราะ เขารักเธอมากจนไม่คิดว่าจะรักได้มากขนาดนั้น เขาทนไม่ได้ที่จะต้องจากเธอ เขาทุ่มเทตัวเองให้กับเธอ แต่เขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่า... เธอเริ่มเปลี่ยนไป"
ประโยคข้างต้นน่าจะเป็นการสรุปเรื่องราวระหว่าง แทรวิส และ เจน ตัวละครใน Paris, Texas หนังหัวใจสลายปี 1984 ของผู้กำกับ วิม เวนเดอร์ส ได้เป็นอย่างดี ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ได้บอกเล่าแค่เรื่องราวของคู่รักร้างอย่างแทรวิสและเจนเท่านั้น แต่อาจจะใช้บอกเล่าเรื่องราวความรักอันล่มสลายของใครอีกหลายคู่... เรื่องราวที่เริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยคนสองคนที่รักกัน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ความรักของสองเรากลายเป็นเรื่องของฉันคนเดียว แล้วจากความรักก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว

เกือบ 4 ทศวรรษนับจากที่ Paris, Texas ออกฉายสู่สายตาผู้ชม แล้วคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1984 มันยังคงเป็นที่พูดถึงและขึ้นแท่นเป็นหนังในดวงใจของใครหลายคนอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า Paris, Texas เป็นหนังที่ทำงานกับคนดูได้อย่างข้ามกาลเวลา และในวันที่ 16 ม.ค. นี้ Paris, Texas ก็จะกลับมาตอกย้ำความเป็นหนังดีข้ามเวลาที่โรงภาพยนตร์ House Samyan ซึ่งจะฉายในโปรแกรมหนังคลาสสิก หลังจากที่โรงหนังอินดี้อย่าง Bangkok Screening Room เคยหยิบมาฉายไปแล้ว
ก่อนที่จะพูดถึงหนัง เราขอแชร์ประสบการณ์ที่เราได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้สักหน่อย ครั้งแรกที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนเรียนจบใหม่ ๆ ความประทับใจหลังหนังจบคือการใช้ทัศนียภาพอันรกร้างกว้างไกลของรัฐเท็กซัสมาเป็นองค์ประกอบในการบอกเล่าความอ้างว้างของตัวละครได้อย่างลงตัว รวมไปถึงการจับคู่สีในแต่ละฉาก ที่ดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ก็ช่วยขับเน้นอารมณ์ของตัวละครให้ชัดเจนขึ้นด้วย

แต่เมื่อเวลายิ่งผ่านนานไป เราพบว่าตัวเองยังคงย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวและชะตากรรมของตัวละครใน Paris, Texas อยู่เรื่อย ๆ ซึ่งนั่นก็คือประสบการณ์ที่หนังเรื่องนี้มอบให้กับคนดู Paris, Texas เป็นหนังที่ต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตเพื่อที่จะรู้สึกเชื่อมโยงกับหนัง เพราะนี่คือหนังที่เล่าเรื่องราวของเหตุการณ์หนึ่ง ที่เบ่งบาน งดงาม ผ่านความวินาศ และพังทลายลงไปแล้ว แต่เมื่อใช้ชีวิตมาได้สักระยะ เราจะรู้ซึ้งกันดีว่า สิ่งที่ทิ้งบาดแผลไว้ให้เราอย่างรุนแรงมากที่สุดไม่ใช่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่จบลงไปแล้ว และเรารู้ตัวดีว่าการย้อนกลับไปแก้ไขหรือทำให้มันดีขึ้น เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของมนุษย์อย่างเรา สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงแค่การใช้ชีวิตต่อไป โดยต้องยอมรับให้ได้ว่าเราจะแหว่งวิ่นและมีรอยแผลไปตลอดกาล
และนั่นก็คือสถานการณ์ที่ตัวละครใน Paris, Texas ต้องเผชิญ

ลืมไม่ได้
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ บิดาแห่งศาสตร์จิตวิเคราะห์ ได้จำแนกกระบวนการในการจัดการกับความสูญเสียของมนุษย์ไว้ 2 แบบ คือ การไว้อาลัย (Mourning) และ การโศกเศร้าตรอมใจ (Melancholy) โดยฟรอยด์กล่าวว่า การไว้อาลัยเป็นกระบวนการจัดการกับการสูญเสียที่ 'เฮลตี้' ต่อชีวิต เพราะการไว้อาลัยเป็นการยอมรับต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น จะร้องไห้ คร่ำครวญ นั่งใต้ฝักบัว ฟังเพลงเศร้า หรือลางานไปเที่ยวพักใจ ก็ถือเป็นกระบวนการไว้อาลัยที่คนที่ประสบการสูญเสียเลือกที่จะทำ เพราะเชื่อว่าเมื่อทำแล้วจะ ‘มูฟออน’ หรือก้าวต่อไปได้ รวมถึงยังเชื่อว่าการกระทำนั้น ๆ จะช่วยเติมเต็มสิ่งที่สูญเสียไป (การทิ้งของของตัวละครใน ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ก็สะท้อนกระบวนการไว้อาลัย คือโยนทิ้งของที่ปนเปื้อนความทรงจำร้าว ๆ ทิ้งไป ด้วยความเชื่อว่า จะได้เปิดพื้นที่ในบ้านและในชีวิตให้กับสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา)
แต่การเศร้าโศกตรอมใจเป็นสภาวะตรงข้าม มันคือสภาวะที่ผู้สูญเสียเชื่อว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มหรือทดแทนสิ่งที่สูญหายไปได้ การสูญเสียในสภาวะตรอมใจคือการที่ตัวตนบางส่วนของเราได้สูญสลายหายไปกับสิ่งสิ่งนั้น ผู้สูญเสียจึงจมจ่อมอยู่ในสภาวะนั้น ๆ ไม่สามารถมูฟออน และที่แย่กว่านั้นคือปฏิเสธการมูฟออนด้วยซ้ำ เพราะมองว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไร ชีวิตจะไม่มีวันเหมือนเดิม เพราะตัวตนบางส่วนของเราได้หายไปกับสิ่งนั้นตลอดกาล และเราต้องใช้ชีวิตไปกับความหว่างเปล่าหรือช่องว่างโหวงนั้น
แทรวิสคือตัวละครที่สะท้อนสภาวะการโศกเศร้าตรอมใจ เขาสูญหายไปจากครอบครัวนานถึง 4 ปี เมื่อน้องชายหาเขาจนพบ แทรวิสกลายเป็นคนเร่รอนในทะเลทราย เขาท่องไปอย่างอย่างไร้จุดหมายในพื้นที่รกร้างของเทกซัส ไม่หลงเหลือความทรงจำใด ๆ หลงลืมไปแม้กระทั่งวิธีการพูดสื่อสารกับผู้คน แต่คนที่ค่อย ๆ พาเขากลับมาเชื่อมต่อกับครอบครัวและสังคมอีกครั้งก็คือ ฮันเทอร์ ลูกชายที่น้องชายของเขารับดูแลหลังจากที่เขาหายตัวไป


เมื่อตัวตนของแทรวิสกลับมา เราเหล่าผู้ชมจึงค่อย ๆ ได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ทำให้เขาวิ่งหนีไปจากครอบครัวและตัวของเขาเองก็คือ ความล่มสลายของความรักที่นำไปสู่การพังทลายของครอบครัวที่เขาเคยมีร่วมกับ เจน ภรรยาสาวอายุยังน้อยของเขา และส่วนสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์นั้นส่งผลร้ายแรงต่อแทรวิส ก็เพราะว่าตัวเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมแห่งครอบครัว ในตอนท้ายของเรื่องที่แทรวิสได้มีโอกาสพบกับเจนอีกครั้ง เขาบอกว่า หลังเหตุการณ์สะเทือนใจที่ทำให้เขากับเจนและฮันเทอร์ต้องพลัดพรากจากกัน เขาก็ออกวิ่งข้ามวันข้ามคืนอย่างไร้จุดหมาย หวังเพียงจะได้พบกับสถานที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครรู้จัก ทำให้เขาไร้ตัวตน เป็นสถานที่ที่ไม่มีแม้กระทั่งถนนหรือภาษา
แท้จริงแล้วสิ่งที่แทรวิสพยายามวิ่งหนีก็คือตัวเขาเอง แต่ไม่เคยหนีพ้น โดยการเร่ร่อนไปในทะเลทรายเป็นเพียงภาพสะท้อนของการติดอยู่ในวังวนของความสูญเสียเท่านั้น และพื้นที่ว่างเปล่าในทะเลทรายก็คือตัวตนของแทวิสที่ไม่มีวันได้รับการเติมเต็มได้

จำไม่ลง
ในขณะที่แทรวิสพยายามจะวิ่งหนีจากตัวเอง เจนกลับหลอกหลอนตัวเองด้วยความทรงจำถึงแทรวิสตลอดเวลา
"ฉันได้ยินเสียงของคุณตลอดเวลา เสียงผู้ชายทุกคนกลายเป็นเสียงของคุณ" คือประโยคที่เจนกล่าวกับแทรวิสหลังจากที่ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง (และเป็นประโยคเด็ดของหนัง)
ทั้งแทรวิสและเจนต่างมีชะตากรรมร่วมกัน คือการยังคงติดอยู่ในวังวนของความทรงจำอันเจ็บปวด ทั้งที่พยายามวิ่งหนีหรือสลัดทิ้งไปแล้ว แต่ไม่มีใครสามารถ 'มูฟออน' หรือหนีจากเงื้อมมือของการหลอกหลอนของความทรงจำไปได้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเจนอาจจะแตกต่างจากแทรวิส ในแง่ที่ว่า ขณะที่แทรวิสพยายามวิ่งหนีจากตัวตนของเขาเอง เจนกลับเกาะเกี่ยวตัวตนของแทรวิสเอาไว้อย่างไม่อาจต้านทานได้ เพราะความโหดร้ายที่เราปุถุชนทุกคนรู้กันดีก็คือ เมื่อเรื่องราวใด ๆ ได้ฝังตัวในจิตใจจนกลายเป็นเป็นความทรงจำ เรื่องราวเหล่านั้นจะติดตัวเราไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปตลอดกาล ในสถานการณ์ของเจน แม้ว่าแทรวิสจะเคยเป็นปีศาจร้ายที่ทำให้ทั้งตัวตนและครอบครัวที่พวกเขาเคยมีร่วมกันต้องพังทลาย แต่สุดท้ายเจนก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า แม้เธอไม่อยากจำ แต่ความทรงจำถึงแทรวิสก็ได้หลอมรวมและกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอไปเรียบร้อยแล้ว และเขาจะอยู่กับเธอไปในทุกขณะการเต้นของหัวใจ เพราะตัวตนของแทรวิสได้มีชีวิตอยู่ในตัวตนของเจน

Paris, Texas จึงเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวอันเรียบง่ายแต่มีอานุภาพทำร้ายหัวใจอย่างบาดลึก มันว่าด้วยความโหดร้ายของความทรงจำ ที่ไม่ว่าเราจะพยายามสลัดมันทิ้งหรือวิ่งหนีจากมัน แต่มันกลับแฝงฝังอยู่ในหลืบซอกในห้วงจิตใจ ซึ่งเป็นไปได้ว่า เราอาจะยอมให้มันอยู่ตรงนั้น เพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว