Skip to main content
AdSense

สำรวจชีวิตผู้ลี้ภัยผ่าน ‘ไกลบ้าน’ สารคดีที่บ้านเป็นสิ่งใกล้หัวใจ แต่ไกลเกินจะกลับ

บ้านของเราหรือของใคร

สำรวจชีวิตผู้ลี้ภัยผ่าน ‘ไกลบ้าน’ สารคดีที่บ้านเป็นสิ่งใกล้หัวใจ แต่ไกลเกินจะกลับ
June 14, 2020 Bangkok time
นักอ่านสายลึกน่าจะคุ้นเคยกับชื่อของ วัฒน์ วรรลยางกูร เป็นอย่างดี หรือหากใครที่ไม่เคยได้ลิ้มรสวรรณกรรมของเขา ก็น่าจะเคยผ่านตาหรือได้ยินชื่อหนัง มนต์รักทรานซิสเตอร์ มาบ้าง ซึ่ง มนต์รักทรานซิสเตอร์ นั้นก็เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของเขาที่ออกตีพิมพ์ในพ.ศ. 2524 ก่อนจะถูกนำมาดัดแปลงสู่จอหนังโดยผู้กำกับ เป็นเอก รัตนเรือง ในพ.ศ. 2544 ที่ไปไกลถึงขั้นได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนหนังไทยไปชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศของปีนั้นด้วย
 
 
ผลงานของวัฒน์ วรรยางกูร ทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย หรือบทกวี ล้วนโดดเด่นในการฉายภาพชีวิตในชนบทของไทยได้อย่างเข้าถึงแก่นและงดงาม ถือเป็นผลงานขึ้นหิ้งของวรรณกรรมไทยสายเพื่อชีวิต ซึ่งคุณูปการของนักเขียนผู้อุทิศทั้งชีวิตให้กับน้ำหมึกและหน้ากระดาษผู้นี้สมควรจะได้รับการยกย่องและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทย ตามที่เจ้าตัวก็ได้กล่าวไว้ในหนังสารคดี ไกลบ้าน เรื่องนี้ ว่าผลงานตลอด 40 ปีที่ผ่านมาของเขา ช่วยให้คนในสังคมไทย "ได้รับสุนทรียะ ความอ่อนหวาน ความเข้าใจลึกซึ้งของภาษา"
 
แต่ในชึวิตจริง วัฒน์ วรรยางกูร กลับต้องหลีกหนีจาก 'บ้าน' ของตัวเองในประเทศไทย หลังจากที่เขาได้รับหมายเรียกให้ไปรายงานตัวกับทางการหลังเหตุการณ์รัฐประหารพ.ศ. 2557
 
 
กว่า 6 ปีแล้ว ที่วัฒน์ต้องจากบ้านและใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากครอบครัว และ 'ไกลบ้าน' ก็คือสารคดีความยาว 35 นาที ที่บอกเล่าเรื่องราวและมุมมองของนักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ด้วยหน้ากระดาษ ตัวอักษร และอุดมการณ์ทางการเมือง ที่เขามีส่วนร่วมในเส้นทางเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง และร่วมอยู่ในทุกเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (ที่ทำให้เขาต้องหนีเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นแรมปี) เรื่อยมาจนถึงการใช้สิทธิ์พลเมืองแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในวาระต่าง ๆ รวมถึงงานรำลึกเหตุการณ์ทางการเมืองหลายต่อหลายครั้ง ที่ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายของคณะรัฐประหารในที่สุด
 
 
"ผมตั้งใจไว้แล้วว่า (เขา)รัฐประหารเมื่อไหร่ (ผม)ก็โดดหนีเมื่อนั้น ผมจะไม่อยู่ให้เขาจับเข้าคุก ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ 6 ตุลา 2519 แล้ว ตอนนั้นผมก็ตั้งใจว่า(เขา)รัฐประหารเมื่อไหร่ (ผม)เข้าป่าเมื่อนั้น" คือคำพูดของวัฒน์ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสารคดีเรื่องนี้โดยผู้กำกับ ธีรพันธ์ เงาจีนานันต์ ที่สนใจบันทึกเรื่องราวของตัวเดินเรื่องระหว่างลี้ภัยในประเทศลาว (ก่อนหน้านี้วัฒน์ไม่เคยเปิดเผยว่าลี้ภัยอยู่ที่ไหน จนกระทั่งล่าสุดเขาได้ลี้ภัยไปยังประเทศฝรั่งเศส จึงสามารถเปิดเผยสถานที่ก่อนหน้าได้) โดยธีรพันธ์สามารถเข้าหาวัฒน์ได้จากการเป็นเพื่อนกับลูกชายของวัฒน์ สารคดีเรื่องนี้จึงถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกว่าด้วยเรื่องราวตัวตนและเส้นทางการลี้ภัยของวัฒน์จากปากคำของเจ้าตัวเอง ขณะที่ ส่วนท้ายจะเป็นมุมมองของลูกชายที่มีต่อพ่อและการที่พ่อกลับบ้านไม่ได้
 
 
เราไม่แน่ใจว่าจะสรุปความรู้สึกจากการดูสารคดีเรื่องนี้อย่างไรดี แต่เมื่อดูจบ เรารู้สึกว่ามี 2 ประโยคที่ติดค้างอยู่ในห้วงความคิด นั่นก็คือประโยคที่วัฒน์บอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งหนีเข้าป่าผ่านภูผาลม ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่ จิตร ภูมิศักดิ์ เคยใช้ในการหลบหนีจากการตามล่าตัวของเจ้าหน้าที่รัฐในยุคนั้น เส้นทางของนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองทั้งสองยุคที่ขนาบนาบลงบนเส้นทางเดียวกันสะท้อนให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน วันคืนเปลี่ยนไปกี่ยุคสมัย แต่เส้นทางของนักต่อสู้ทางการเมืองล้วนจบลงบนทางสายเดียวกัน… นั่นคือ การหลบหนี การสูญหาย หรือแม้กระทั่งความตาย
 
 
ส่วนอีกฉากหนึ่งที่ทำเราสะเทือนใจเอามาก ๆ ก็คือการเล่าเรื่องราวของพ่อจากปากคำของลูกชายในตอนท้ายของเรื่อง ที่กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการสร้างบ้านของพ่อ ที่ไม่ว่าพ่อจะไปอยู่ที่ไหน ความฝันของพ่อมีเพียงสิ่งเดียว คือการทำให้สถานที่แห่งนั้นเป็นบ้านด้วยมือของพ่อเอง ต่อให้มันจะเป็นเพียงกระท่อมหลังเล็ก แต่พ่อก็จะลงมือสร้าง 'บ้านในฝัน' ของพ่ออยู่ร่ำไป
 
การสร้างบ้านในฝันของพ่อที่กระจัดกระจายอยู่ตามหลายที่ อาจจะเป็นการทดแทนบ้านในฝันของพ่อที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศแห่งนี้ ประเทศที่พ่อกลับบ้านไม่ได้ ประเทศที่บ้านในฝันของพ่ออาจเป็นได้เพียงความฝัน… ประเทศที่เราเรียกว่า 'บ้าน' แต่กลับเป็นเพียงวาทกรรมเบาบาง ไม่เคยเป็นบ้านของเราจริง ๆ
 
ไกลบ้าน รับชมได้ทาง Documentary Club โดยจ่ายเงินรับชมได้ในราคา 1.99 เหรียญ หรือประมาณ 63 บาท
AdSense
AdSense
AdSense