Spoiler Alert! บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาภาพยนตร์
แม้เราจะเกิดเป็นประชากรแห่งศตวรรษที่ 20 แต่หญิงสาวชาวไทยอย่างเรา ๆ ต่างก็ถูกพร่ำสอนมาด้วยคติสอนหญิงไม่มากไม่น้อยไปกว่ายุคก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยแนวคิดที่ว่าเกิดเป็นหญิงต้องสำรวม แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไปจนถึงห้ามชายตามองหรือยิ้มแย้มให้กับหนุ่มที่ไหน ซึ่งบางคตินั้นก็ขัดต่อสถานการณ์ในยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง รวมไปถึงลิดรอนสิทธิความเท่าเทียมที่คนทุกคนพึงมี จนเกิดเป็นเคส Victim Blaming มากมาย ซึ่งหลังจากที่เราดู คิมจียองเกิดปี 82 บอกเลยว่า หญิงไทยไม่ใช่ชาติเดียวที่ประสบพบเจอสถานการณ์เช่นนี้

คิมจียองเกิดปี 82 เป็นหนังสือที่เขียนโดย โชนัมจู และตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2016 ประกายไฟจากงานเขียน 1 เล่ม ได้สร้างกระแสเฟมินิสต์ขึ้นในสังคมเกาหลี ประเทศที่ทุกวันนี้ผู้ชายยังเป็นใหญ่ และทำให้หญิงสาวหลายคนตระหนักถึงเรื่อง ‘ไม่ปกติ’ ที่ถูกสังคมกล่อมเกลาให้ชินชาจนกลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ โดยสิ่งที่ยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้พูดถูกก็คงเป็นกระแสต่อต้านจากแฟนบอยอย่างเกรี้ยวกราด ถึงขั้นเผาและกรีดรูปไอดอลสาว Irene จาก Red Velvet เมื่อเธอให้สัมภาษณ์ในรายการว่าตนได้อ่านงานเขียนเล่มนี้ ซึ่งแม้จะมีทั้งกระแสบวกและลบต่อตัวหนังสือ แต่ในที่สุดเรื่องราวที่ว่าก็ถูกนำมาบอกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์ ที่ดัดแปลงโดยผู้กำกับ คิมโดยอง นำแสดงโดยนักแสดงรุ่นเดอะอย่าง จองยูมิ (รับบท คิมจียอง) และ กงยู (รับบท จองแดฮยอน)
เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก

คิมจียองกลายเป็นเหมือนตัวแทนของหญิงสาวทั่วโลก เพราะเส้นทางชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตของเธอ ล้วนแต่มีเรื่องราวที่หากใครเกิดเป็นหญิงก็ต้องเคยเจอกับตัวซักเรื่อง แม้เนื้อเรื่องจะถูกดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเหมือนชีวิตประจำวัน แต่องค์ประกอบอื่น ๆ อย่างบทพูดหรือสถานการณ์ก็สามารถสร้างความอึดอัดในใจให้คนดูอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ฉากที่นำเสนอความไม่เท่าเทียมระหว่างลูกชายกับลูกสาวในบ้านตระกูลคิม ที่มีคุณพ่อที่อยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นจากการที่ลูกสาวทั้งสองถูกสั่งห้ามวิ่งเล่นเอะอะในบ้าน แต่ลูกชายทำได้ และการซื้อของมาฝากลูก ๆ อย่างไม่เท่าเทียม (ลูกชายได้ปากกาอย่างดีราคาแพง ลูกสาวได้สมุด) ไปจนถึงงานบ้านงานเรือนที่ถูกกันที่ไว้ให้ผู้หญิงทำเท่านั้น
ภัยที่เลี่ยงไม่ได้

แม้แต่เรื่องคุกคามทางเพศที่เรามักจะเห็นสถานการณ์คล้ายกันในบ้านเราก็พบเห็นได้ในสังคมเกาหลี เมื่อจียองเข้าสู่วัยรุ่น เธอถูกล่วงละเมิดทางเพศบนรถสาธารณะ จนเธอเลือกที่จะโทรศัพท์ขอให้พ่อของเธอมารับและเดินกลับบ้านเป็นเพื่อน แต่ระหว่างทางกลับบ้านนั้น -ที่คุณพ่อของเธอพยายามทำหน้าที่พ่ออยู่นั้น- จียองกลับถูกตั้งคำถามว่าเธอใส่กระโปรงสั้นไป หรือได้ยิ้มให้กับชายคนนั้นหรือไม่ ทั้งที่ความจริงแล้ว มีเคสคุกคามทางเพศมากมายที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยที่ผู้หญิงแต่งตัวไม่เรียบร้อย หรือไปแสดงท่าทีกับผู้กระทำผิดก่อน หรือแม้แต่ผู้เสียหายอยู่ในเครื่องแต่งกายที่รุ่มร่ามไม่เหมาะสมก็ตาม ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ก้าวล่วงร่างกายและจิตใจผู้อื่นทั้งนั้น แต่สังคมส่วนใหญ่กลับยังตัดสินให้เหยื่อเป็นคนผิดและผ่อนปรนให้ผู้กระทำผิดตัวจริงอยู่บ่อยครั้ง
เลี้ยงลูกเองถือว่าประสบความสำเร็จ

เมื่อจียองเข้าสู่วัยทำงาน เธอพบว่าพนักงานหญิงในบริษัทได้รับโอกาสการเติบโตทางวิชาชีพน้อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากบริษัทมองว่าผู้หญิงมักทำงานสะดุด นั่นคือ มองว่าพวกหล่อนต้องแต่งงาน ลาไปเลี้ยงลูก หรือให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า จึงเลือกความคุ้มทุนกับพนักงานชายเป็นหลัก ในขณะที่หัวหน้า (ผู้หญิง) ของจียองที่มีลูกแล้ว แต่ตัดสินใจให้คนที่บ้านเลี้ยงก็โดนข้อครหาจากเพื่อนชายที่ทำงานอีกว่าถึงแม้เธอจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ถ้าเธอไม่ได้เลี้ยงลูกเอง เธอก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงไม่เคยดีพอในสายตาผู้ชาย เลือกครอบครัวก็โดนด่า เลือกงานก็โดนด่า โดนทั้งขึ้นทั้งล่องซะงั้น!
บ้านเขา บ้านเรา

ปัญหาแม่สามีและลูกสะใภ้ยังคงเป็นปัญหาระดับสากลที่พบได้ในหลายประเทศ ประหนึ่งว่าลูกชายของบ้านคือทรัพย์สินมีค่าที่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือกรรมสิทธิ์โดยเอกฉันท์ และเช่นเดียวกับชีวิตแต่งงานของจียอง ภาพที่หนังแสดงให้เราเห็นคือการแต่งงานเข้าบ้านผู้ชายของสังคมเกาหลีดูจะไม่ใช่ชีวิตที่ราบรื่นนัก โดยเธอต้องลาออกมาเลี้ยงลูก มาทำงานบ้าน เป็นแม่บ้านเต็มตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ตอนอยู่ที่บ้าน แดฮยอนจะช่วยเธอเลี้ยงลูกบ้างเวลาที่เขากลับจากที่ทำงานก็ตาม แต่เมื่อต้องไปเยี่ยมบ้านแม่สามี จียองกลับถูกคาดหวังให้ทำงานในฐานะสะใภ้อย่างครบถ้วน รวมถึงต้องเอาใจแม่สามีสารพัด ครั้นสามีจะเสนอตัวช่วยแก้ปัญหา แต่แม่สามีกลับคิดว่าลูกชายของตนไม่ควรต้องลดคุณค่าความเป็นชายมาช่วยแก้ปัญหาที่ผู้หญิงควรจะจัดการได้ กลายเป็นปมในครอบครัวซ้อนครอบครัวที่บ่งชี้ว่าการแต่งงาน -ในบางครัวเรือน- ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน
แม่คืองานที่ไม่มีวันหยุด

ช่วงที่ลูกอายุ 1-2 ขวบ คงเป็นช่วงเวลาสุดแสนจะลำบากที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะเด็กวัยนี้ต้องการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ แถมค่าเลี้ยงดูก็ยังสูงสำหรับพ่อแม่มือใหม่อีกด้วย โครงสร้างครอบครัวเกาหลีส่วนมากจึงอยู่ในรูปแบบผู้หญิงเลี้ยงลูกทำงานบ้าน ส่วนผู้ชายทำงานนอกบ้าน แต่การลาออกมาเลี้ยงลูกก็ใช่ว่าจะเป็นงานที่สบาย เพราะอาชีพแม่คืองานหนักที่ไม่มีเวลาพัก แต่จียองก็ยังได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากสังคมอีกว่าการลาออกมาเลี้ยงลูกเป็นการเกาะสามีกิน นอกจากจะไม่มีโอกาสได้กลับไปทำงานที่ชอบ -และทำได้ดี- อีกครั้งแล้ว เธอยังต้องมาฟังถ้อยคำบั่นทอนความรู้สึกเหล่านี้อีก เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงจำนวนมากกำลังต่อสู้อยู่ในสงครามที่พวกเธอไม่มีวันชนะ หรือก็คืออยู่ในสถานะที่ไม่เสมอตัวก็ถูกด่า กลายเป็นชนชั้นใหม่ของสังคม ที่มีตัวตนอยู่เพื่อการระบายอารมณ์ของคนอื่นเท่านั้น

ด้วยความที่ตัวเรื่องเขียนขึ้นจากค่านิยมสังคมเกาหลี ทำให้จองแดฮยอนดูเป็นตัวละครที่เซอร์เรียลที่สุดในเรื่องไปเลย สามีแบบแดฮยอนนั้นหายากนัก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเลี้ยงลูก การต่อต้านแนวคิดไม่ให้เกียรติผู้หญิงของเพื่อนร่วมงาน การพยายามจะห้ามปรามแม่ การลามาเลี้ยงลูกแม้จะรู้อยู่แล้วว่าอาจจะทำให้เขาเสียหน้าที่การงาน ไปจนถึงการกลัวที่จะเสียภรรยาไป เราจึงตีความได้ว่าจองแดฮยอนเป็นตัวละครที่ถูกเขียนมาเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้ชม เช่นเดียวกับซีรีส์เกาหลีเรื่องอื่นที่มักจะสร้างตัวละครชายให้ดูเทพบุตรเกินจริงอยู่เสมอ


ไม่ว่าจียองจะอยู่ในบทบาทไหน ทั้งลูกสาว นักเรียน พนักงานบริษัท ภรรยา ลูกสะใภ้ และแม่ เธอก็ต้องเผชิญกับความอึดอัดจากการถูกตราหน้าในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำผิด การถูกบีบบังคับให้อยู่ในกรอบที่เธอต้องพยายามมองให้เป็นเรื่องปกติ รวมถึงการไม่อาจแสดงออกถึงสิ่งที่ตนเองต้องการได้ ทำให้จิตใจของจียองอยู่ในสภาพย่ำแย่ จนที่สุดแล้วเธอก็แสดงความไม่ปกติออกมา คล้ายกับจะเป็นสัญลักษณ์ว่าเธอพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันทั้งหมด แต่เมื่อหนังคลี่คลายมาจนตอนสุดท้าย ที่เธอได้รับการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจจนหายดี ก็ถือเป็นการสะท้อนให้ผู้ชมเห็นว่าสังคมนี้ -ทั้งในเรื่องและในชีวิตจริง- ยังมีความหวัง และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้หญิงเสมอบนโลกใบนี้ เป็นเหมือนความอึมครึมที่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และเป็นหนังอีกเรื่องที่เราอยากให้ทุกคนหาโอกาสดูสักครั้ง