เมื่อค่ำคืนของวันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา เหล่าแฟน ๆ ของ Gorillaz ทั่วโลกได้มารวมตัวกันโดยนัดหมาย เพื่อร่วมกันรับชมภาพยนตร์สารคดีเบื้องหลังการทำงานของวงอัลเทเนทีฟร็อก แจ๊ซ ฮิปฮอป โซล อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ขวัญใจคนยุค 90 วงนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางวงได้ประกาศว่า Gorillaz: Reject False Icons จะเข้าฉายพร้อมกันทั่วโลกในวันเดียวกัน และจะฉายเพียงหนึ่งรอบเท่านั้น ไม่มีการยืนหยัดฉายเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ ตามโปรแกรมเหมือนเรื่องอื่น
ตอนที่ได้รู้ข่าวว่า Documentary Club จะนำสารคดีเรื่องนี้มาฉายในไทยตามกติกาของวงที่ประกาศว่าขอฉายรอบเดียววันเดียวทั่วโลก แฟนวงอย่างเราก็ถึงกับกุมพระซะแน่น เพราะกลัวว่าจะกดจองที่นั่งไม่ทัน ซึ่งอย่างที่บอกว่าพลาดแล้วคือพลาดเลย ไม่มีฉายซ้ำ แต่ในที่สุดแต้มบุญเรายังพอมี เลยกดจองที่นั่งได้ทัน แม้จะอยู่แถวหน้าและต้องแอบแหงนคอดูหน่อยก็ตาม

ตลอดเวลา 1 ชม.ครึ่ง เรามีความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน แต่เมื่อกลั่นกรองแล้วก็สามารถสรุปได้ในคำเดียวว่า ‘อิ่มเอม’ กับการได้นั่งดูการทำงานทั้งในห้องอัด หลังเวที และบนเวทีของคนเหล่านี้ ที่แม้บางคนจะเป็นวัยเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังมีไฟในการทำงานที่ตัวเองรักอย่างคุโชนเต็มเปี่ยม สิ่งหนึ่งที่เราในวัยใกล้ 30 ได้รับจากการนั่งดูคนที่ทำงานมา 20 กว่าปีแล้วยังมีพลังกับงานของตัวเองอยู่ ก็คือบทเรียนว่า ไม่มีการทำงานใดที่ไม่เหนื่อย แต่จะดีที่สุดถ้าเราได้เหนื่อยกับการทุ่มเทในสิ่งที่เรารัก

สำหรับเรา (และเชื่อว่าแฟนวงคนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน) Gorillaz ไม่ได้เป็นแค่วงดนตรี แต่พวกเขาคือชุมชนหรือคอมมูนิตีของศิลปินที่ถ่ายทอดความคิดและมุมมองที่มีต่อโลกได้อย่างเฉียบคม ซึ่งพลังการสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขาออกมาในรูปแบบของงานศิลปะแขนงต่าง ๆ ทั้งบทเพลง งานวิชวล หรือการแสดง ถ้าถามว่า Gorillaz ประกอบด้วยสมาชิกเป็นใครบ้าง เราก็จะตอบว่า Gorillaz ประกอบด้วย นักดนตรี โปรดิวเซอร์เพลง นักวาดภาพ และนักออกแบบ

Gorillaz ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 จาก 2 หัวหอกคือ เดมอน อัลบาร์น ที่เรารู้จักกันดีในฐานะนักร้องนำวง Blur กับ เจมี ฮิวเลตต์ นักวาดการ์ตูนและคนทำแอนิเมชัน ทำไมนักดนตรีกับนักวาดภาพถึงมาจับมือกันทำวงดนตรีได้? นั่นก็เพราะ Gorillaz ปรากฏตัวในฐานะวิชวลแบนด์ ที่สมาชิกในวงประกอบด้วยตัวคาแรกเตอร์การ์ตูน 4 คน คือ สจวร์ต พอต หรือ ทูดี (ร้องนำและคีย์บอร์ด), เมอร์ด็อก นิกคาลส์ (เบส), นูเดิล (กีตาร์และร้องแบ็กอัป) และ รัสเซล ฮ็อบบ์ (กลองและเพอร์คัสชัน) ซึ่งคาแรกเตอร์ทั้งสี่ก็ไม่ได้มาปรากฏตัวเป็นโลโก้ของวงเฉย ๆ แต่พวกเขาต่างมีเรื่องราวก่อนจะมารวมตัวกันทำวงเป็นของตัวเอง (ที่สามารถหาอ่านได้ในกราฟิกโนเวลของ Gorillaz: Rise of the Orge) นอกจากนี้คาแรกเตอร์ของพวกเขาจะอยู่ในเอ็มวีเพลง, หนังสั้นของวง, บางทีก็ไปนั่งให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี และขึ้นเวทีคอนเสิร์ตในรูปแบบของวิดีโอแบ็กกราวนด์ หรือบางทีทั้งสี่ก็มาเล่นคอนเสิร์ตให้คนดูกันสด ๆ ในรูปแบบของโฮโลแกรมด้วย


การที่ Gorillaz ถูกนำเสนอโดยคาแรกเตอร์การ์ตูน ทำให้พวกเขาสามารถเป็นใครก็ได้ ทำเพลงแนวไหนก็ได้ และจะชวนใครมาร่วมทำเพลงด้วยก็ได้ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา คนที่เป็นรากฐานของ Gorillaz และยืนหยัดเป็นมาสเตอร์ไมนด์เบื้องหลังความสำเร็จของวงก็คืออัลบาร์น ที่รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์และคนแต่งเพลงหลักของวง นั่นจึงทำให้รายชื่อของศิลปินที่ได้ชื่อว่าตบเท้ามา ‘เป็น’ Gorillaz ยาวเหยียดไล่ไปตั้งแต่ เดอ ลา โซล, เจมส์ เมอร์ฟีย์, รูตส์ มานูวา, เจมี พรินซิเพิล, วินซ์ สเตเปิลส์ ไปจนถึง สนูปด็อกก์

การใช้คาแรกเตอร์การ์ตูนเป็นภาพลักษณ์ของวงยังทำให้แนวทางการทำเพลงของวงเปิดกว้าง พวกเขาสามารถชวนนักดนตรีท้องถิ่นจากจาไมกา, นักร้องระดับตำนานของชิลี, แรปเปอร์ หรือนักร้องแนวโซล มาร่วมงานกันได้อย่างเสรีไม่จำกัดเชื้อชาติ ภาษา หรือแนวดนตรี นั่นทำให้เพลงของ Gorillaz มีส่วนผสมที่หลากหลายแบบแทบจะทุกสไตล์เพลงที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็น ร็อก, ป็อป, ฮิปฮอป, โซล, แจ๊ซ, ฟังก์, อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เรียกได้ว่าเพลงของ Gorillaz คือสไตล์เวิลด์มิวสิก หรือดนตรีที่คนทุกคนบนโลกสามารถฟังและเอ็นจอยร่วมกันได้

Gorillaz: Reject False Icons สร้างมาจากฟุตเทจเบื้องเบื้องหลังการทำอัลบัม Humanz หลังจากที่พวกเขาหายไปนานถึง 5 ปีเต็ม รวมไปถึงภาพบันทึกการแสดงสดจากการตระเวนทัวร์คอนเสิร์ต Humanz World Tour และ The Now Now Tour กว่า 90 รอบ สลับกับภาพในห้องอัดที่พวกเขากำลังทำอัลบัมล่าสุดอย่าง The Now Now และแอนิเมชันคาแรกเตอร์ทั้งสี่ของวง รวมทั้งยังมีภาพ VR ที่ปกติจะทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่องเพื่อเพิ่มมู้ดและเรื่องราวให้ผู้ชมในคอนเสิร์ต มาทำหน้าที่เป็นตัวประสานเรื่องในสารคดีนี้ด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่รับชม เราได้แต่นึกกราบคนตัดต่อในใจ เพราะเรามั่นใจว่าฟุตเทจจากการบันทึกความเป็นไปของวงนานเป็นปีก็คงเยอะมากแล้ว แต่นี่ยังต้องมาตัดสลับกับแอนิเมชันและภาพคอนเสิร์ตอีก ไม่รู้ป่านนี้พี่เขาหายปวดหลังหรือยัง

นอกจากความอิ่มเอมจากการได้ดูเบื้องหลงการทำงานของวงที่เรารัก ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งที่เราได้จากการชม Gorillaz: Reject False Icons เมื่อคืนก่อนก็คือความสุขจากการได้เห็นการทำงานร่วมกันของมนุษย์กว่าร้อยชีวิตที่มาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ดนตรีโดยไม่มีข้อแตกต่างอย่าง เชื้อชาติ สีผิว หรือภาษา มาเป็นอุปสรรคขวางกั้น รวมทั้งการที่วงตระเวนไปเปิดคอนเสิร์ตในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกทั้งเอเชีย อเมริกาใต้ อเมริกาเหนือ แล้วได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นไม่ต่างกัน การชม Gorillaz: Reject False Icons คือความอบอุ่นในใจ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเมื่อกำจัดความแตกต่างที่เป็นเพียงมายาคติของสังคมออกไป มนุษย์เรานั้นช่างแสนเรียบง่าย เต็มไปด้วยพลังในการสร้างสรรค์ความงดงาม และเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามารถสื่อสารกันได้ผ่านบทเพลงและการมีประสบการณ์หนึ่ง ๆ ร่วมกัน