Skip to main content
AdSense

ทำความรู้จัก A24 สตูดิโอหนังขวัญใจทั้งฮิปสเตอร์และออสการ์ ที่เตรียมปล่อยหนังใหม่ที่ House ม.ค.นี้

มีแต่หนังดี ๆ ทั้งนั้นเลยพี่จ๋า

ทำความรู้จัก A24 สตูดิโอหนังขวัญใจทั้งฮิปสเตอร์และออสการ์ ที่เตรียมปล่อยหนังใหม่ที่ House ม.ค.นี้
December 4, 2019 Bangkok time

หลายคนคงเริ่มคุ้นตากับโลโก้เส้นปริซึมตัดฉวัดเฉวียน แล้วค่อยคลี่เปลี่ยนเป็นตัวอักษร A24 เพราะชื่อยี่ห้อค่ายหนังค่ายนี้มักเห็นอยู่บ่อย ๆ จากการถูกปะหน้าก่อนเข้าหนังดังน้ำดีการันตีรางวัลมากมาย ไล่มาตั้งแต่ (สูดลมหายใจ...) Ex Machina (2015), Room (2015), Moonlight (2016), 20th Century Woman (2016), The Lobster (2016), The Witch (2016), The Florida Project (2017), Lady Bird (2017), Good Time (2017), Hereditary (2018) หรือ Midsommar (2019)

เอาเป็นว่ารายชื่อหนังที่เราร่ายมาข้างบนน่ะ เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสตูดิโอหนังนอกกระแสแห่งนี้ ที่กำลังกลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ที่สั่งสมบารมีมานาน เพราะความสำเร็จของ A24 ที่ก่อตั้งจากเนิร์ด 3 คน ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล แต่ก็ก่อร่างสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาได้โดยไม่ง้อค่ายหนังทุนหนา ใช้เพียงสายตาเฉียบคม รสนิยมทางภาพยนตร์ และความเชื่อที่ว่าหนังดีจะมีพลังในการสื่อสารกับคนดู สิ่งเหล่านี้ได้พลิกมุมมองเดิม ๆ ที่ว่าหนังชิงรางวัลมักทำเงินน้อย แถมยังสามารถสร้างกลุ่มแฟนคลับที่สถาปนาตน ขอติดตามหนังทุกเรื่องของค่ายนี้ ขอแค่มีโลโก้ A24 ปะหน้าก็พอ (ฉันคนหนึ่งล่ะแก)

กลางเดือน ม.ค. ปีหน้า เราก็กำลังจะได้ดูผลงานล่าสุดของสตูดิโอภาพลักษณ์เท่แห่งนี้ ที่เขาขอท้าทายกระแสตลาดเช่นเคย ด้วยการส่งหนังที่ถ่ายทำด้วยภาพขาวดำทั้งเรื่อง (ซึ่งเป็นเหมือนของแสลงเสี่ยงเจ๊งสำหรับสตูดิโอหนังในฮอลลีวูดและทั่วโลก) แถมถ่ายทำด้วยอัตราส่วนภาพแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ให้เหล่าแฟน ๆ ได้ลองของกัน กับ The Lighthouse หนังที่เล่าเรื่องราวของชายเฝ้าประภาคาร 2 คน ท่ามกลางบรรยากาศหลอน ๆ หนาว ๆ ของชายฝั่งอังกฤษศตวรรษที่ 19 ซึ่ง House Samyan เขาประกาศมาแล้วว่า เตรียมตัวรอดูวันที่ 19 ม.ค. ได้เลย

อ่านพลอตแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า เนื้อเรื่องชวนง่วง แถมเป็นหนังขาวดำทั้งเรื่องแบบนี้ ใครเขาจะดูกัน? ยอมรับว่าฉันคนหนึ่งล่ะที่พอรู้ว่า A24 ทำ ก็เตรียมตัวกำบัตรทันที 

และเนื่องในโอกาสที่เรากำลังจะได้ดูลูกบ้าล่าสุดของสตูดิโอสุดอินดี้แห่งนี้ เราเลยขอลองกลับไปย้อนดูเส้นทางกว่าจะมาเป็น A24 ในวันนี้กันหน่อยดีกว่า จะได้เข้าใจมากขึ้นว่า บ้าจนได้ดีนี่มันเป็นยังไงกัน

กำเนิด A24 จากความบ้า

เราอาจจะเรียก A24 ว่าเป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ของแวดวงหนังก็ได้ แต่พลังของกลุ่มนี้ก็คือพลังของความบ้านะ A24 ก่อตั้งขึ้นมาจากอดีตพนักงานบริษัทภาพยนตร์ 3 คน ที่ชื่นชอบหนังแนวเดียวกัน แล้วพากันลาออกมาเสี่ยงโชค โดย 3 คน ที่ว่านี้ประกอบด้วย เดวิด เฟนเคล, จอห์น โฮดจส์ และ เดวิด แคตซ์ โดยช่วงแรก ทั้งสามมุ่งไปที่การมองหาหนังดีมีแววรุ่งมาจัดจำหน่าย ซึ่งหนังเรื่องแรกที่ A24 จัดจำหน่ายให้ก็คือหนังตลกปี 2013 ที่ชื่อว่า  A Glimpse Inside the Mind of Charles Swan III ที่ผลออกมาคือ เละ ล้มไม่เป็นท่า แต่ถามว่าทั้งสามเข็ดมั้ย? แน่นอนว่าไม่

ด้วยเหตุนี้ในอีก 3 ปีต่อมา เราจึงได้เห็นโลโก้ A24 แปะหน้าหนังที่มีพลอตสุดเหวออย่าง Swiss Army Man ที่ว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มติดเกาะที่เอาศพเกยตื้นมาเป็นเพื่อน แม้ว่าหนังจะนำแสดงโดยอดีตพ่อมดน้อย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ และนักแสดงตัวเทพสายอินดี้ พอล ดาโน แต่ตอนที่หนังไปฉายเปิดตัวในเทศกาลซันแดนซ์  คนดูก็พากันเดินออกจากโรงตั้งแต่หนังยังไม่จบ แต่ 3 เกลอเจ้าของค่าย กลับตามประกบติดผู้กำกับและเสนอตัวขอเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังที่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อผู้กำกับถามว่า เฮ้ย ทำไมนายถึงอยากได้หนังเรื่องนี้จัง พวกเขาก็ตอบว่า "เราก็แค่เชื่อในหนังเรื่องนี้อะ"


ไปสู่จักรวาล (ออสการ์)

หนังเรื่องแรกที่ A24 ลงทุนสร้างเองตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ Moonlight ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงเจ้าของรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมปี 2016 ที่พูดถึงประเด็นหนักหน่วงเกี่ยวกับชีวิตของเด็กชายผิวสีที่เติบโตขึ้นมาเป็นเกย์หนุ่ม ซึ่งแม้กระทั่งผู้กำกับอย่าง แบร์รี เจนกินส์ เองก็ยังเคยตั้งข้อสงสัยในการตัดสินใจของสตูดิโอ กับการกระโจนลงมาทำหนังเรื่องแรก แล้วก็เล่นของหนักเป็นหนังดราม่าที่ดูไม่น่าขายได้เรื่องนี้เลย เจนกินส์ยังเคยกังขาด้วยว่า หนังของเขาที่แทบไม่มีสตูดิโอไหนเหลียวแล แต่จู่ ๆ ทำไม Geek หนัง 3 คนนี้กลับเลือกที่จะประเคนเงินให้โปรเจกต์นี้ แถมยังให้อิสระในการทำหนังอย่างเต็มที่อีก ยกเว้นแค่เรื่องบทเท่านั้นที่เจ้าของสตูดิโอทั้งสามขออ่านก่อนลงมือถ่ายทำแบบทุกหน้าทุกตัวอักษร

อย่างฉากเปิดของหนังที่เจนกินส์ตัดสลับระหว่างภาพตัวเอกในวัยเด็กวิ่งหนีแก๊งเด็กที่กำลังวิ่งไล่กระทืบ กับฉากสนทนาระหว่างพ่อค้ายา แม้ฉากนี้จะเหมือนเป็นการเตรียมตัวคนดูให้พร้อมรับความหนักหน่วงของหนังทั้งเรื่อง ที่แม้กระทั่งตัวเขาเองยังมองว่ามันอาจหนักเกินไป แต่สตูดิโอเจ้าของหนังกลับบอกว่า เท่ดี เจ๋งมาก เอาอย่างนี้แหละ ซึ่งผลลัพธ์จากความเชื่อในตัวผู้กำกับและพลังของหนังก็ทำให้แม้กระทั่งเจนกินส์แทบไม่เชื่อ เมื่อหนังได้รับการประกาศชื่อเป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปีบนเวทีออสการ์ พ่วงด้วยรางวัลบทภาพยนตร์ต้นฉบับยอดเยี่ยม แถมหนังยังทำเงินทั่วโลกไปถึง 1,900 ล้านบาท จากทุนสร้างเพียงแค่ 45 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถ้าถามว่าเบื้องหลังความสำเร็จทั้งเงินทั้งกล่องของ Moonlight คืออะไร เราว่าหนึ่งในนั้นก็คือความไว้วางใจที่สตูดิโอมีต่อตัวหนังและตัวผู้กำกับนั่นเอง

ทำหนังที่ไม่มีใครทำ

พอ Moonlight ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ก็แทบไม่มีใครกังขาแล้วว่า A24 นอกจากจะเป็นแหล่งรวมพลคนบ้าคนเพี้ยน พวกเขายังเป็นสตูดิโอผู้สร้างหนังที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการมองออกว่าหนังเรื่องไหนจะดี (หรือแม้แต่ "จำเป็น" ในเชิงงานศิลป์) ผู้กำกับคนไหนจะปัง นอกจากนี้เราว่าส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ A24 ประสบความสำเร็จก็คือ พวกเขาเชื่อมั่นในตัวคนดูว่า ถ้าหนังเรื่องนั้น ๆ เป็นหนังที่มีเมสเสจดี ถ่ายทอดออกมาดี และเป็นประเด็นที่คนดูเชื่อมโยงถึงได้ ต่อให้ไม่ใช่หนังสูตรสำเร็จ คนดูย่อมต้องให้การยอมรับ เพราะสตูดิโอแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากกลุ่มคนดูหนังที่เชื่อในพลังของหนังดีและไม่ดูถูกสติปัญญาคนดู

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ดูหนังเหงาเศร้าอย่าง A Ghost Story (2017) ที่เล่าเรื่องราวของผีผ้าห่ม (ผีผ้าห่มจริง ๆ ไม่เชื่อดูรูปด้านล่าง) ที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ในบ้านที่อาศัยร่วมกับภรรยาที่รัก ก่อนที่เขาจะสูญสลายหายไปตลอดกาล ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็กำกับโดย เดวิด โลเวอรีย์ ที่เราแทบไม่อยากเชื่อว่า ก่อนจะมากำกับหนังผีที่ดำเนินเรื่องเนิบ ๆ เศร้า ๆ เรื่องนี่ เขาได้กำกับหนังแอนิเมชันไดโนเสาร์ของดิสนีย์อย่าง Pete’s Dragon (2016) มาก่อน แต่อย่างที่รู้กันว่าดิสนีย์ขึ้นชื่อเรื่องการเข้ามาควบคุมความคิดและความสร้างสรรค์ของผู้กำกับ หลังจบหนังมังกร โลเวอรีย์จึงรีบหนีออกมาจากดิสนีย์แล้วมายัง A24 ที่ให้อิสระเขาในการทำหนังเต็มที่ และตอนนี้โลเวอรีย์ก็กำลังทำหนังเรื่องใหม่ภายใต้ชายคา A24 เจ้าเดิม กับหนังที่มีชื่อว่า Green Knight โดยจะเป็นหนังแฟนตาซีที่สร้างมาจากบทกลอนศตวรรษที่ 14 ที่โลเวอรีย์เองยังบอกว่า ไม่คิดว่าจะมีใครให้ทุนมาทำโปรเจกต์นี้ แม้ในอีกล้านปีข้างหน้าก็ตาม แต่เราก็กำลังจะได้ดูกันโดยมีโลโก้ A24 รับประกันนี่ล่ะ
 


การตลาดเป็นเลิศ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะมองข้ามสตูดิโอแห่งนี้ไปไม่ได้เลยก็คือ แผนการโปรโมตหนังอันชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น ตอนที่จะโปรโมตหนังหุ่นยนต์สาวที่เรียนรู้การเป็นมนุษย์อย่าง Ex Machina (2016) ทางสตูดิโอก็สร้างโปรไฟล์ทินเดอร์สำหรับหุ่นยนต์ตัวนี้ขึ้นมา แล้วปัดขวาไปหลอกคุยกับหนุ่ม ๆ จนกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกโซเชียล 
 

เมื่อครั้งที่สตูดิโอจะโปรโมตหนังผีขี้เหงา A Ghost Story ทางทีมก็ไปจัดป๊อปอัปสเปซที่ให้คนเข้าไปทดลองเป็นผีผ้าห่มกันได้ โดยเมื่อเดินเข้าไปในสเปซ จะมีผีสาวผ้าห่มขาวมาพาเราเข้าไปในห้องกระจกที่มีผ้าห่มให้เราเลือกเอามาคลุมตัว เพื่อให้เราทดลองเป็นผีที่ติดอยู่ในความทรงจำของตัวเองและไม่อาจปล่อยวางได้ จนต้องติดอยู่ในสถานที่หนึ่งตลอดกาล


ตอนที่ Midsommar (2019) กำลังจะเข้าฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทีมการตลาดของ A24 ก็ทำแสบด้วยการสร้างโฆษณาปลอมเพื่อขายของเล่นเด็กที่เป็นหุ่นแกะสลักไม้รูปหมีในกรง แต่เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงแล้วก็จะรู้ว่า แท้จริงแล้วชะตากรรมของหมีในกรงนั้นเป็นอย่างไร และเรื่องราวในหนังก็ไม่ได้สวยงามสดใส ตรงกันข้ามกับมู้ดที่ปรากฏในโฆษณาที่ทำออกมาหลอกคนดูอย่างสิ้นเชิง (ฮือ)
 

YouTube video


The Lighthouse

เดวิด เอกเกอร์ เป็นชื่อคนทำหนังที่รับประกันความเฮี้ยนหลอนอยู่แล้ว การันตีโดยหนังเรื่องก่อนหน้าของเขาภายใต้ชายคา A24 นี้นี่เอง อย่าง The Witch ที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวเคร่งศาสนา ที่ย้ายถิ่นฐานออกจากเกาะอังกฤษ เพื่อไปตั้งรกรากใหม่ในอเมริกา ในช่วงเวลาที่อเมริกายังเป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ แล้วต้องพบกับเรื่องราวชวนหลอนสั่นคลอนศรัทธา ซึ่งในหนังเรื่องนี้เอกเกอร์ก็ได้รับคำชมล้นหลามจากการนำตำนานพื้นบ้านของนิวอิงแลนด์มาดัดแปลงเพื่อสร้างความขวัญผวาให้คนดูยุคใหม่ ซึ่งกับผลงานล่าสุดอย่าง  The Lighthouse เขาก็กำลังจะใช้เรื่องเล่าพื้นถิ่นนิวอิงแลนด์ (อีกแล้ว) มาเล่าใหม่ให้หลอนประสาทคนดูเช่นเคย แต่คราวนี้เขาจะเล่นใหญ่ขึ้น ด้วยการใช้เทคนิคถ่ายทำที่ไม่ว่าค่ายหนังไหนก็ต้องส่ายหน้า แต่ A24 เขาจัดให้

The Lighthouse จะเล่าเรื่องราวของชายเฝ้าประภาคารบนเกาะที่ห่างไกล (นำแสดงโดย วิลเลม เดโฟ และ โรเบิร์ต แพตทินสัน) จนกระทั่งพายุเริ่มโหมกระหน่ำใส่พวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วทั้งสองก็พบว่าพวกเขากำลังจะเสียสติและกลับต้องตกอยู่ในวังวนความหลอนที่จิตของพวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
 

 
ที่เราบอกว่าผู้กำกับและเจ้าของค่ายหนังเขาบ้าพอกันนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะปกติแล้ว ไม่มีค่ายหนังค่ายไหนยอมเซย์เยสให้ผู้กำกับทำหนังขาวดำตลอดทั้งเรื่องแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันว่าเราอยู่ในยุคหนังสีสันและการขายเทคนิคตระการตา จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาคนดูที่ยอมจ่ายเงินเข้ามาดูหนังขาวดำไร้สีสันซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นชิน
 
YouTube video

 
แต่เอกเกอร์ไม่เพียงขอทำหนังขาวดำ แต่ยังจะขอถ่ายหนังทั้งเรื่องด้วยสัดส่วนภาพ 1.19:1 ที่ทำให้ภาพเป็นสี่เหลี่ยม (เกือบจะ) จัตุรัส เหมือนเวลาเราดูภาพในอินสตาแกรม แถมไม่ใช่ว่าจะถ่ายหนังด้วยกล้องธรรมดาแล้วไปย้อมขาวดำเอาทีหลังอีกนะ แต่ผู้กำกับเขายืนกรานที่จะถ่ายหนังทั้งเรื่องด้วยฟิล์มขาวดำ 35 มม. ดับเบิลเอ็กซ์ ที่คุณภาพยังคงเดิมเหมือนในยุค 1950 ที่มันถูกผลิตขึ้น เพื่อให้ภาพในหนังดูยุ่งเหยิง ไม่เรียบ แต่สีขาวกับดำตัดกันอย่างเนียบกริบ เห็นชัดเจน
 
 
ถึงตอนนี้เราไม่รู้แล้วว่าใน A24 ใครบ้ากว่ากันระหว่างสตูดิโอกับคนทำหนัง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูจะคุ้มค่าความอุตสาหะของทั้งสองฝ่าย เพราะตั้งแต่ออกฉายเมื่อกลางปีที่ผ่านมา The Lighthouse ก็เดินหน้ากวาดคำชม ทั้งจากนักวิจารณ์และคนดู และนอกจากจะไปคว้ารางวัล Fipresci ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์มาแล้ว หนังยังกวาดรายได้ไปแล้ว 333 ล้านบาททั่วโลก จากทุนสร้าง 120 ล้านบาท ซึ่งนี่ก็คืออีกหนึ่งตัวบ่งชี้ว่า A24 คิดถูก ที่ว่าหนังที่มีคุณค่าในตัวเองจะหาคนดูเจอเสมอ
 
ชาวซอยมิลค์เองก็อย่าลืมไปเจอล่ะ เขาจะมาให้เจอแล้วนะ
AdSense
AdSense
AdSense