หลายคนคงเริ่มคุ้นตากับโลโก้เส้นปริซึมตัดฉวัดเฉวียน แล้วค่อยคลี่เปลี่ยนเป็นตัวอักษร A24 เพราะชื่อยี่ห้อค่ายหนังค่ายนี้มักเห็นอยู่บ่อย ๆ จากการถูกปะหน้าก่อนเข้าหนังดังน้ำดีการันตีรางวัลมากมาย ไล่มาตั้งแต่ (สูดลมหายใจ...) Ex Machina (2015), Room (2015), Moonlight (2016), 20th Century Woman (2016), The Lobster (2016), The Witch (2016), The Florida Project (2017), Lady Bird (2017), Good Time (2017), Hereditary (2018) หรือ Midsommar (2019)

เอาเป็นว่ารายชื่อหนังที่เราร่ายมาข้างบนน่ะ เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของสตูดิโอหนังนอกกระแสแห่งนี้ ที่กำลังกลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ที่สั่งสมบารมีมานาน เพราะความสำเร็จของ A24 ที่ก่อตั้งจากเนิร์ด 3 คน ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล แต่ก็ก่อร่างสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมาได้โดยไม่ง้อค่ายหนังทุนหนา ใช้เพียงสายตาเฉียบคม รสนิยมทางภาพยนตร์ และความเชื่อที่ว่าหนังดีจะมีพลังในการสื่อสารกับคนดู สิ่งเหล่านี้ได้พลิกมุมมองเดิม ๆ ที่ว่าหนังชิงรางวัลมักทำเงินน้อย แถมยังสามารถสร้างกลุ่มแฟนคลับที่สถาปนาตน ขอติดตามหนังทุกเรื่องของค่ายนี้ ขอแค่มีโลโก้ A24 ปะหน้าก็พอ (ฉันคนหนึ่งล่ะแก)

กลางเดือน ม.ค. ปีหน้า เราก็กำลังจะได้ดูผลงานล่าสุดของสตูดิโอภาพลักษณ์เท่แห่งนี้ ที่เขาขอท้าทายกระแสตลาดเช่นเคย ด้วยการส่งหนังที่ถ่ายทำด้วยภาพขาวดำทั้งเรื่อง (ซึ่งเป็นเหมือนของแสลงเสี่ยงเจ๊งสำหรับสตูดิโอหนังในฮอลลีวูดและทั่วโลก) แถมถ่ายทำด้วยอัตราส่วนภาพแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ให้เหล่าแฟน ๆ ได้ลองของกัน กับ The Lighthouse หนังที่เล่าเรื่องราวของชายเฝ้าประภาคาร 2 คน ท่ามกลางบรรยากาศหลอน ๆ หนาว ๆ ของชายฝั่งอังกฤษศตวรรษที่ 19 ซึ่ง House Samyan เขาประกาศมาแล้วว่า เตรียมตัวรอดูวันที่ 19 ม.ค. ได้เลย

อ่านพลอตแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า เนื้อเรื่องชวนง่วง แถมเป็นหนังขาวดำทั้งเรื่องแบบนี้ ใครเขาจะดูกัน? ยอมรับว่าฉันคนหนึ่งล่ะที่พอรู้ว่า A24 ทำ ก็เตรียมตัวกำบัตรทันที
กำเนิด A24 จากความบ้า
เราอาจจะเรียก A24 ว่าเป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ของแวดวงหนังก็ได้ แต่พลังของกลุ่มนี้ก็คือพลังของความบ้านะ A24 ก่อตั้งขึ้นมาจากอดีตพนักงานบริษัทภาพยนตร์ 3 คน ที่ชื่นชอบหนังแนวเดียวกัน แล้วพากันลาออกมาเสี่ยงโชค โดย 3 คน ที่ว่านี้ประกอบด้วย เดวิด เฟนเคล, จอห์น โฮดจส์ และ เดวิด แคตซ์ โดยช่วงแรก ทั้งสามมุ่งไปที่การมองหาหนังดีมีแววรุ่งมาจัดจำหน่าย ซึ่งหนังเรื่องแรกที่ A24 จัดจำหน่ายให้ก็คือหนังตลกปี 2013 ที่ชื่อว่า A Glimpse Inside the Mind of Charles Swan III ที่ผลออกมาคือ เละ ล้มไม่เป็นท่า แต่ถามว่าทั้งสามเข็ดมั้ย? แน่นอนว่าไม่


ด้วยเหตุนี้ในอีก 3 ปีต่อมา เราจึงได้เห็นโลโก้ A24 แปะหน้าหนังที่มีพลอตสุดเหวออย่าง Swiss Army Man ที่ว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มติดเกาะที่เอาศพเกยตื้นมาเป็นเพื่อน แม้ว่าหนังจะนำแสดงโดยอดีตพ่อมดน้อย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ และนักแสดงตัวเทพสายอินดี้ พอล ดาโน แต่ตอนที่หนังไปฉายเปิดตัวในเทศกาลซันแดนซ์ คนดูก็พากันเดินออกจากโรงตั้งแต่หนังยังไม่จบ แต่ 3 เกลอเจ้าของค่าย กลับตามประกบติดผู้กำกับและเสนอตัวขอเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังที่ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อผู้กำกับถามว่า เฮ้ย ทำไมนายถึงอยากได้หนังเรื่องนี้จัง พวกเขาก็ตอบว่า "เราก็แค่เชื่อในหนังเรื่องนี้อะ"

ไปสู่จักรวาล (ออสการ์)
หนังเรื่องแรกที่ A24 ลงทุนสร้างเองตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ Moonlight ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงเจ้าของรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมปี 2016 ที่พูดถึงประเด็นหนักหน่วงเกี่ยวกับชีวิตของเด็กชายผิวสีที่เติบโตขึ้นมาเป็นเกย์หนุ่ม ซึ่งแม้กระทั่งผู้กำกับอย่าง แบร์รี เจนกินส์ เองก็ยังเคยตั้งข้อสงสัยในการตัดสินใจของสตูดิโอ กับการกระโจนลงมาทำหนังเรื่องแรก แล้วก็เล่นของหนักเป็นหนังดราม่าที่ดูไม่น่าขายได้เรื่องนี้เลย เจนกินส์ยังเคยกังขาด้วยว่า หนังของเขาที่แทบไม่มีสตูดิโอไหนเหลียวแล แต่จู่ ๆ ทำไม Geek หนัง 3 คนนี้กลับเลือกที่จะประเคนเงินให้โปรเจกต์นี้ แถมยังให้อิสระในการทำหนังอย่างเต็มที่อีก ยกเว้นแค่เรื่องบทเท่านั้นที่เจ้าของสตูดิโอทั้งสามขออ่านก่อนลงมือถ่ายทำแบบทุกหน้าทุกตัวอักษร

ทำหนังที่ไม่มีใครทำ
พอ Moonlight ประสบความสำเร็จขนาดนั้น ก็แทบไม่มีใครกังขาแล้วว่า A24 นอกจากจะเป็นแหล่งรวมพลคนบ้าคนเพี้ยน พวกเขายังเป็นสตูดิโอผู้สร้างหนังที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการมองออกว่าหนังเรื่องไหนจะดี (หรือแม้แต่ "จำเป็น" ในเชิงงานศิลป์) ผู้กำกับคนไหนจะปัง นอกจากนี้เราว่าส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ A24 ประสบความสำเร็จก็คือ พวกเขาเชื่อมั่นในตัวคนดูว่า ถ้าหนังเรื่องนั้น ๆ เป็นหนังที่มีเมสเสจดี ถ่ายทอดออกมาดี และเป็นประเด็นที่คนดูเชื่อมโยงถึงได้ ต่อให้ไม่ใช่หนังสูตรสำเร็จ คนดูย่อมต้องให้การยอมรับ เพราะสตูดิโอแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากกลุ่มคนดูหนังที่เชื่อในพลังของหนังดีและไม่ดูถูกสติปัญญาคนดู




การตลาดเป็นเลิศ
อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะมองข้ามสตูดิโอแห่งนี้ไปไม่ได้เลยก็คือ แผนการโปรโมตหนังอันชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น ตอนที่จะโปรโมตหนังหุ่นยนต์สาวที่เรียนรู้การเป็นมนุษย์อย่าง Ex Machina (2016) ทางสตูดิโอก็สร้างโปรไฟล์ทินเดอร์สำหรับหุ่นยนต์ตัวนี้ขึ้นมา แล้วปัดขวาไปหลอกคุยกับหนุ่ม ๆ จนกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกโซเชียล

เมื่อครั้งที่สตูดิโอจะโปรโมตหนังผีขี้เหงา A Ghost Story ทางทีมก็ไปจัดป๊อปอัปสเปซที่ให้คนเข้าไปทดลองเป็นผีผ้าห่มกันได้ โดยเมื่อเดินเข้าไปในสเปซ จะมีผีสาวผ้าห่มขาวมาพาเราเข้าไปในห้องกระจกที่มีผ้าห่มให้เราเลือกเอามาคลุมตัว เพื่อให้เราทดลองเป็นผีที่ติดอยู่ในความทรงจำของตัวเองและไม่อาจปล่อยวางได้ จนต้องติดอยู่ในสถานที่หนึ่งตลอดกาล


ตอนที่ Midsommar (2019) กำลังจะเข้าฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทีมการตลาดของ A24 ก็ทำแสบด้วยการสร้างโฆษณาปลอมเพื่อขายของเล่นเด็กที่เป็นหุ่นแกะสลักไม้รูปหมีในกรง แต่เมื่อเราเข้าไปดูหนังในโรงแล้วก็จะรู้ว่า แท้จริงแล้วชะตากรรมของหมีในกรงนั้นเป็นอย่างไร และเรื่องราวในหนังก็ไม่ได้สวยงามสดใส ตรงกันข้ามกับมู้ดที่ปรากฏในโฆษณาที่ทำออกมาหลอกคนดูอย่างสิ้นเชิง (ฮือ)

The Lighthouse
เดวิด เอกเกอร์ เป็นชื่อคนทำหนังที่รับประกันความเฮี้ยนหลอนอยู่แล้ว การันตีโดยหนังเรื่องก่อนหน้าของเขาภายใต้ชายคา A24 นี้นี่เอง อย่าง The Witch ที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวเคร่งศาสนา ที่ย้ายถิ่นฐานออกจากเกาะอังกฤษ เพื่อไปตั้งรกรากใหม่ในอเมริกา ในช่วงเวลาที่อเมริกายังเป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ แล้วต้องพบกับเรื่องราวชวนหลอนสั่นคลอนศรัทธา ซึ่งในหนังเรื่องนี้เอกเกอร์ก็ได้รับคำชมล้นหลามจากการนำตำนานพื้นบ้านของนิวอิงแลนด์มาดัดแปลงเพื่อสร้างความขวัญผวาให้คนดูยุคใหม่ ซึ่งกับผลงานล่าสุดอย่าง The Lighthouse เขาก็กำลังจะใช้เรื่องเล่าพื้นถิ่นนิวอิงแลนด์ (อีกแล้ว) มาเล่าใหม่ให้หลอนประสาทคนดูเช่นเคย แต่คราวนี้เขาจะเล่นใหญ่ขึ้น ด้วยการใช้เทคนิคถ่ายทำที่ไม่ว่าค่ายหนังไหนก็ต้องส่ายหน้า แต่ A24 เขาจัดให้


