"โคเวิร์คกิ้งสเปช" พื้นที่ทำงานรูปแบบใหม่ของชาวเมืองนั้นเกิดขึ้นมาหลายแห่งมากในช่วงที่ผ่านมานี้ มีทั้งให้เช่าพื้นที่ในการทำงาน ห้องประชุม สัมมนา อีกหลากหลายบริการ หนึ่งในเหล่าโคเวิร์คกิ้งสเปชครบครันคือ Glowfish พื้นที่ทำงานรูปแบบใหม่ครบรสทั้ง ห้องทำงาน สถานที่จัดกิจกรรม ฟิตเนสเซนเตอร์ รวมไปถึงห้องอาหารที่มีร้านอร่อย ๆ ซ่อนตัวอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วเราจะมาชี้ทางให้แจ่มแจ้งกันไปว่า ในพื้นที่โซนห้องอาหารที่แฝงตัวอยู่ในโคเวิร์คกิ้งสเปชชื่อว่า Glowfish Dining Hall นี้มีร้านรวงอะไรอยู่บ้าง ขอบอกว่ามีกี่ร้าน เราขนมาบอกให้หมดเลย



Kuppadeli
จากร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนชื่อ Kuppa ที่ซอยสุขุมวิท 16 ถูกแบ่งย่อยเป็นอีกหลายสาขาโดยใช้ชื่อว่า Kuppadeli เพื่อมุ่งเน้นการขายอาหารแบบ Grab & Go และเครื่องดื่มที่รวดเร็ว เรียบง่าย ตอบโจทย์ชีวิตคนทำงานที่ต้องการความซื้อง่ายขายคล่อง อย่างเครื่องดื่มประเภทกาแฟ เบเกอรี่เค้ก และขนมปังแซนด์วิชอิ่มสบายท้อง โดยสาขาที่หลบตัวอยู่ใน Dinning hall ของ Glowfish นี้ก็มีเมนูเครื่องดื่มน่าคบหาอยู่พอสมควร


เมนูกาแฟของ Kuppadeli นั้นก็ได้เมล็ดคั่วเองจาก Kuppa สุขุมวิท 16 มาใช้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และมีกาแฟร้อนเป็นอาราบิก้าพิเศษสูตรเฉพาะจำนวนถึง 6 ชนิดให้เลือกสรร ล่าสุดมีเพิ่มเมล็ดสายพันธุ์เชียงดาวมาใหม่อีกหนึ่งตัวด้วย แถมมีโปรโมชั่นส่วนลดของกาแฟเชียงดาวแก้วละ 50 บาทจากราคาปกติ 65 บาทตลอดช่วงเวลาตั้งแต่ 07:00 -10:00 น. ทั้งเมนูร้อน และเย็น ส่วนเมนูเย็นที่คุ้นเคยอย่าง Cold brew (120 บาท) เครื่องดื่มที่มาพร้อมบรรจุภัณฑ์แบบขวด ใช้กาแฟออร์แกนิคจากประเทศเปรู เปิดเทใส่แก้วบรรจุน้ำแข็ง ก็เข้มข้นแบบไม่อมเปรี้ยวเลยอย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่แล้ว


นอกจากเครื่องดื่มต่าง ๆ แล้ว Kuppadeli สาขานี้ยังมีความพิเศษของเมนูแซนด์วิชที่ไม่มีในสาขาอื่น ๆ ให้ลิ้มลองกันด้วย นอกจากนี้ยังมีเบเกอรี่ และเค้กอีกหลายรส ร้านสไตล์กินดื่มได้ทั้งวันนี้มีโปรโมชั่นสำหรับพนักงานออฟฟิศในตอนเช้ากับหลายประเภทเครื่องดื่มที่มีจำหน่ายภายในร้านและสำหรับใครที่ถือบัตร Glowfish member นั้นก็จะได้สิทธิ์ส่วนลด 20% ทุกเวลาด้วยนะ แถมถ้าสมัคร Coffee Card ของทางร้านในราคา 1000 บาทนั้นก็สามารถซื้อเมนูกาแฟได้ตั้ง 15 แก้วเลยเชียวแหละ


มาต่อกันที่อีกร้านสำหรับใครที่ชอบต้มตุ๋นไม่ใช่การลักขโมยแต่อย่างใด เพราะเมนูตุ๋นของร้านนี้นั้นพิเศษไม่เหมือนใคร สูตรลับเฉพาะสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยอาม่าของคุณปิ๊ก-ศศิ อุไรวรรณชัย เจ้าของร้านที่บอกเล่าเรื่องราวว่าเมนูตุ๋นที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นแน่นอน โดย Hip Bow ประเดิมเปิดที่ Glowfish Dining Hall เป็นสาขาแรก คุณปิ๊กตั้งใจให้เป็นร้านอาหารแบบรวดเร็วพร้อมเสิร์ฟ มีมาสคอตประจำร้านคือ ฮิปโป ประเภทสัตว์ที่ลูกชายของเธอชื่นชอบ และการเสิร์ฟอาหารเป็น Bowl หรือเป็นชาม จึงได้คำน่ารัก ๆ อย่าง Hip Bowl มาเป็นชื่อร้านนั่นเอง

เมนูตุ๋นของที่นี่จะมีทั้ง ไก่ หมู และเนื้อ เพิ่มความอิ่มได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ข้าวสวย ข้าวหอมมะลิ หรือบะหมี่เหลืองเส้นไข่สด เส้นมาม่าก็มี หลัก ๆ ตอนนี้ทางร้านมีเสิร์ฟ 4 เมนูคือข้าวหน้าไก่ (140 บาท) ซี่โครงหมู (280 บาท) เนื้อน่องลาย (220 บาท) เนื้อเอ็นแก้ว (320 บาท) ทีเด็ดที่ไม่ควรพลาดอยู่ที่เมนูเนื้อเอ็นแก้วที่ทางร้านได้การันตีมาแล้วว่าได้เลือกสัดส่วนที่อร่อยสุด ๆ มาให้ได้ลิ้มลองรส มีวัตถุดิบที่พิถีพิถันมาประกอบอยู่บนจานพร้อมเสิร์ฟ เต็ม ๆ คำ และขอบอกว่าเอ็นแก้วของคุณปิ๊กนั้นนุ่มจริง ๆ ไม่เหนียวเลย เรียกว่าเป็นเอ็นแก้วในอุดมคติมาก

ความรวดเร็วพร้อมเสิร์ฟในสไตล์แบบฮิปโบลนั้นมีเมนูอาหารจัดเป็นเซ็ตโดยมีจานหลักขนาบมาด้วย ในชุดจัดด้วยสลัดผัก ของหวานตามฤดูกาล พ่วงด้วยเครื่องดื่มเป็นชาจีนอู่หลงข้าวหอม อิ่มอร่อยประหยัดกันเลยทีเดียว

ต่อกันที่ร้านอาหารที่ผสมผสานความเป็นไทย และเวียดนามเข้าไว้ด้วยกัน ใส่ใจเลือกวัตถุดิบโดยเลือกผักปลอดสารพิษจากฟาร์มที่ได้รับการันตีว่าปลอดภัย 100% จากประสบการณ์แพ้สารเคมีในผักของคุณไดน่า มนนิการ์ ซิงห์ เจ้าของร้าน และความที่เธอชอบทานอาหารเวียดนาม จึงอยากจะนำเสนออาหารที่สะอาดมีคุณภาพ และทำให้ผู้บริโภคได้รับรสชาติเยี่ยมบวกสุขภาพที่ดีอีกด้วย

สำหรับเมนูไฮไลต์ของที่นี่ก็คือ เฝอ (135 บาท) ที่เลือกได้ทั้งเฝอหมู และกุ้ง มีทั้งแบบน้ำ และแบบแห้งที่ทางร้านได้พัฒนามาตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้เลือกรับประทานตามความชอบใจ

ส่วนที่ขาดไปไม่ได้เลยอย่าง แหนมเนือง อาหารอันลือชื่อของเวียดนาม เมนูอันอุดมไปด้วยสุขภาพจากนานาผักหลากชนิด แกล้มด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง มีสองแบบให้เลือกทั้งชนิดที่เสิร์ฟเป็นจานอย่าง แหนมเนือง PLATTER (280 บาท) จำแนกส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ให้ลูกค้าได้เลือกชนิดผัก หั่นแหนมเนือง เยาะน้ำจิ้มสูตรเด็ด ห่อด้วยแป้งบางนุ่ม ผ่านกรรมวิธีการกินที่ทำด้วยตัวเอง หรือจะเป็นการประยุกต์อาหารชื่อดังเวียดนามเก๋ ๆ ให้เป็นแหนมเนืองโรล (120 บาท) นำเข้าปากพอดีคำกันแบบง่าย ๆ สบาย ๆ นอกจากนี้ยังมีก๋วยจั๊บญวน ปอเปี๊ยะ ยำหมูยอ และอีกหลากหลาย


สำหรับร้านนี้ต้องเท้าความกลับไปเริ่มต้นเล่าที่มาที่ไปให้ทุกคนฟังก่อนว่า จากที่เชฟบัดดี้-ถมธนัตถ์ หทโยดม นั้นได้เปิดร้าน Chef’s Table เป็นเมนูอาหารนานาชาติที่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้ากันหลายวัน จากเมนูเนื้อที่นำมาทำเป็นผัดกะเพราให้เพื่อน ๆ และลูกค้าลองทานนั้นได้รับกระแสตอบรับที่ดี เจ้าตัวเองจึงเปิดร้าน Buddy to go ในเวลาต่อมา เป็นร้านอาหารที่ต้องสั่งเดลิเวอรี่เท่านั้น จวบเหมาะกับช่วง Glowfish กำลังจะเปิดโซน Dinning Hall ขึ้นมา ชื่อของ Easy Buddy จึงเกิดขึ้น ได้ผู้ร่วมหุ่นสองพี่น้องมาเสริมทัพ และมีทำเลที่ตั้งอยู่ภายใต้พื้นที่ของโคเวิร์กกิ้งสเปชแห่งนี้นั่นเอง

สำหรับ Easy Buddy นั้นเป็นร้านที่เน้นขายเมนูข้าวผัดกะเพราที่มีความเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร นอกจากข้าวผัดกระเพราที่มีตัวเลือกการผัดเป็นเนื้อสับคั่ว หรือเนื้อหมูคั่ว และจะผัดด้วย Olive Oil สำหรับคนไม่ทานเนื้อต่าง ๆ แล้ว ยังมีลูกเล่นเป็นท็อปปิงให้ผู้รับประทานเลือก DIY ใส่ส่วนผสมได้ตามใจชอบ อย่างเช่น หมูคุโรบุตะ แซลมอน ไข่เป็ดดาว ไข่ออนเซน เป็นต้น เราลองเมนูกะเพราเนื้อหมัก ท็อปด้วยข้าวโพดย่าง น้ำพริกกากหมู และไข่เป็ดดาว (250 บาท) ที่อร่อยแบบแสงพุ่งออกจากปาก ลืมไปเลยว่ากะเพราบ้าน ๆ เป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นข้าวสวย หรือจะเป็นข้าวเหนียวที่ทางร้านแนะนำอยากให้ลูกค้าได้ลองว่าเมื่อนำข้าวเหนียวมาผัดข้าวแล้วจะมีความพิเศษเป็นยังไง และมีคีนัว ธัญพืชสำหรับสายเฮลธ์ตี้รักสุขภาพก็เลือกลองได้เช่นกัน

อีกเมนูหน้าตาดี รสชาติเยี่ยมกับเฟรนซ์ฟรายส์กะเพราชีส (160 บาท) กะเพราหมูสับฟิวชันกับสองสหายอย่าง เฟรนซ์ฟรายส์ และชีส ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ในการกินผัดกะเพราแบบไทย ๆ

ทิ้งท้ายกันที่ร้านสุดท้ายอย่างร้านสไตล์อาหารเหนือชื่อ เหนือสาทร จากคำบอกเล่าของเจ้าของร้านคือคุณ ทีน-ษิวัชร ทองพัฒนากุล บอกว่าจากความตั้งใจที่อยากเห็นร้านอาหารของตนแตกต่างจากร้านที่มีอยู่ใน Dining Hall จึงทำการเปิดร้านนี้ขึ้นมา การตกแต่งร้านด้วยสไตล์ปูนเปลือยเรียบง่ายธรรมดาแต่ดูมีอะไร บวกเข้ากับลวดลายของงานศิลปะไทยแบบร่วมสมัยช่วยให้ภาพหน้าร้านของเหนือสาทรน่าจะจำกันได้ง่าย

อาหารสไตล์เหนือที่สามารถหากินได้ในกรุงเทพฯ มีรายชื่ออาหารแนะนำอย่าง ขนมจีนน้ำเงี้ยว (140 บาท) เมนูขึ้นชื่อจากทางภาคเหนือ ไส้อั่ว (120 บาท) กินกับข้าวเหนียว มีน้ำพริกอ่อง (130 บาท) และแคบหมู (50 บาท) ทั้งนี้ยังมีเมนูตำมะม่วง (100 บาท) ตำมะละกอ (100 บาท) ให้ได้เลือกรับประทานในอารมณ์แบบภาคเหนือในเมืองหลวงนั่นเอง และยังมีของหวานเป็นเมนูชื่อ Sorbet ลำไย (80 บาท) ที่ใช้ลำไยแห้งจากลำพูนมาเป็นวัตถุดิบด้วย




Soimilk Says: แม้ Glowfish Dining Hall จะมีร้านอาหารไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ร้านที่มาเปิดก็ไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์หากินง่ายทั่วไป เราชอบที่มีความหลากหลายของประเภทอาหารในพื้นที่เดียว อยากกินอาหารเหนือ อาหารเวียดนาม อาหารไทย อาหารจีน สตูว์ ก็เลือกได้ และรสชาติของอาหารแต่ละร้านก็อยู่ในเกณฑ์ดีเลยแหละ ราคาก็ยังจับต้องได้ นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งพื้นที่กินข้าวของเหล่าพนักงานออฟฟิศแถวสาทรแหง ๆ (รวมถึงพวกเราด้วย)
Glowfish Dinning Hall อาคารสาทรธานี ชั้น 2 เวลาทำการ จันทร์ – เสาร์ 10:00 – 20:00 น. BTS ช่องนนทรี www.glowfishoffices.com