หลังจากที่ Documentary Club ย้ายมาจาก Warehouse 30 ได้เพียง 3 ปีภายใต้อาคาร Woof Pack Building ที่อดีตเคยเป็น Bangkok Screening Room ก็มีการประกาศยุติการฉายภาพยนตร์อันเป็นหัวใจหลักของ Doc Club & Pub ซึ่ง ณ ตอนนี้เหลือเป็นเพียงร้านคาเฟ่ที่ยังคงเป็นพื้นที่ไว้สำหรับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้บ้าง อย่างที่ทุกคนรู้กันมาคร่าวๆ ว่า สาเหตุการยุติฉายนั้นเป็นเนื่องมาจากไม่เข้าข่ายพระราชบัญญัติ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 และกฎกระทรวงในปัจจุบัน ทำให้ Doc Club & Pub ไม่สามารถดำเนินกิจการในฐานะโรงภาพยนตร์ต่อไปได้นอกเสียจากจะมีการแก้กฎหมาย
Soimilk พาทุกคนไปพูดคุยกับ คุณหมู-สุภาพ หริมเทพาธิป หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Doc Club & Pub ผู้อยู่วงการ micro cinema (โรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก) มากว่า 20 ปี เกี่ยวกับมุมมองเรื่องกฎหมาย ความสำคัญของคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม และแผนต่อไปสำหรับ Doc Club & Pub ในอนาคต

แผนต่อไปของ Doc Club & Pub คืออะไร
มีสองแนวทางที่คิดไว้ อย่างแรกคือเลิก ไม่ต้องทำละ มันเป็นไม่ได้ที่คงความเป็นโรงภาพยนตร์เล็ก เพราะถ้าพูดถึงถ้าจะให้ทำตามกฏหมาย มันเป็นไปไม่ได้เลย อย่างกฎหมายกล่าวว่าพื้นที่เหมาะสมควรเป็นอาคารพาณิชย์ หรือทางเดินโดยรอบต้องมีความกว้างสองเมตร มันเป็นไม่ได้สำหรับ micro cinema อย่างที่สอง คือทำให้มันใหญ่ๆ ไปเลย ทำมันให้เกิดขึ้นทุกที่ในอาคาร อันไหนเป็นไปได้ก็คงต้องเป็นอันนั้น
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คิดว่ากฎหมายมันแฟร์กับคนตัวเล็กตัวน้อยอย่าง micro cinema ไหม
ในขบวนการการออกกฎหมายของกระทรวงว่าด้วยโรงมหรสพ ณ วันที่ออก โดยกลุ่มคนที่มีบทบาทในการกำหนดรูปแบบ เขาอาจมีมุมมองต่อโรงมหรสพ (ซึ่งหมายรวมถึงโรงละคร โรงคอนเสิร์ต และโรงหนัง) แบบเดียว คือต้องเป็นกิจการขนาดใหญ่เท่านั้น เลยไม่ได้มองทางเลือกอื่นสำหรับกิจการที่สอดคล้องไปกับบริบทของสังคมที่มันเปลี่ยนแปลงไป ถามว่าแฟร์ไหม เขาก็แฟร์ในมุมมองของเขา
แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับ micro cinema สักทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้มันก็มีโรงละครขนาดเล็กที่ถูกสั่งปิดด้วย พ.ร.บ. อาคารแบบเดียวกันนี่แหละ แต่ด้วยความที่เขาเป็นรายเล็ก เลยไม่เป็นที่รู้โดยทั่วไป ซึ่งเรามองว่าเป็นการเสียโอกาสที่ไม่ต่างกัน โรงไลฟ์เฮ้าส์ก็น่าจะมีปัญหา ถ้าเอา พ.ร.บ. นี้มาใช้ แต่ว่าทุกวันนี้กิจการเชิงศิลปะเล็กๆ แบบนี้ ทั้งโลกมองเห็นว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่ เขาเลยออกกฎหมายเอื้อให้สิ่งเหล่านี้มันคงอยู่ และอยู่บนฐานของความปลอดภัยต่อผู้ที่เข้าร่วมในพื้นที่นั้นๆ
ความยากของคนตัวเล็กมันมีอยู่ทุกธุรกิจ เรามองเรื่องแอลกอฮอล์ก็ได้ เขาก็ประสบคล้ายๆ กัน มันควรถูกทบทวนไหมว่าเราจะทำยังไงให้คนตัวเล็กตัวน้อย ในทุกๆ วงการมันมีโอกาสที่นำมาซึ่งในการสร้างนวัตกรรมในสังคมนี้ ผมเชื่อว่าไม่มีองค์กรขนาดใหญ่ไหนหรอกที่จะสร้างสรรค์ เพราะความสร้างสรรค์มันเกิดจากคนตัวเล็กตัวน้อยที่มันขาดแคลนโอกาส อย่างที่เขาพูดกัน “เพราะความกันดารจึงเกิดความสร้างสรรค์”

อุดมการณ์ของ Doc Club ตั้งแต่แรกนั้นคืออะไร
พอดีเราทำมาในด้านนี้มานานแล้ว เราสนใจหนังอย่างจริงจัง พอออกมาจากหอภาพยนตร์ (Thai Film Archive) เราก็ทำนิตยสารภาพยนต์ Bioscope ที่ออฟฟิศออกแบบไว้เลยว่ามันต้องมีห้องประชุมที่มีจอฉาย ขนาดใหญ่ แล้วเราจะเชิญชวนคนเพื่อให้คนมาดู เพื่อสร้างโอกาสในการที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง โยนความรู้ ความคิดที่ตัวเองมี อันนี้คือเป็นเจตนารมณ์ จากชิดลมเราย้ายไปอยู่พญาไท รัชดา โชคชัย 4 ย้ายกี่ครั้งมันจะมีโซนนี้เสมอ พอเราเห็นความสำคัญของสิ่งนี้ ก็ทำมาตลอด 20 ปี จนกระทั่งไปทำ Doc Club Theater ที่ Warehouse 30 แต่พอเลิกจากตรงนั้น เราก็คิดว่า เอ้อ จะเป็นตรงไหนได้อีก จนมาเจอ Bangkok Screening Room ซึ่งเขาเลิกกิจการไปเพราะโควิด เราก็สานต่อเขา มาปรับปรุงพื้นที่เป็นพื้นที่สาธารณะมากขึ้นเป็น Doc Club & Pub ซึ่งคำว่า Pub มาจากคำว่า public space
มีความเห็นยังไงในการปรับแก้กฎหมายเพื่อเอื้อคนตัวเล็ก
อย่างแรกเลยผมมองว่า พ.ร.บ. มันมีความสำคัญในเรื่องของการมองความปลอดภัย เราก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว แต่คนที่มีบทบาทต่อการเขียนข้อกำหนดต้องมีมุมมองที่กว้างพอว่ามันมีแบบอื่นนอกเหนือจากกิจการแบบใดแบบหนึ่ง อย่าง พ.ร.บ. โรงแรม เขาก็มีสถานที่พักที่ไม่ใช่โรงแรม เลยเป็นที่มาของโฮสเทล ซึ่งถ้าเอาโฮสเทลมาใช้แบบเดียวกับโรงแรมขนาดใหญ่มันก็ไม่ได้ มันเลยต้องแก้ให้สอดรับกับบริบท มันเป็นสิ่งที่ประชาสังคมโลกเขาเป็นกัน
คือผมไม่อยากพูดว่ามันเอื้อแค่โรงภาพยนตร์อย่างเดียวนะ อยากจะให้พื้นที่การแสดงอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงละคร สถานที่แสดงดนตรี สมมติถ้าเกิดว่ามีน้องๆ รวมกันทำวง ทุกวันนี้จะแสดงให้คนได้เห็นเนี่ย คุณก็ไปเล่นตามร้านอาหาร ซึ่งร้านอาหารจะให้เล่นเพลงคุณเหรอ คุณก็ต้องเล่นเพลงคนอื่น ถ้ามันมีพื้นที่รับคนดู 30-40 คนแล้วเขาได้เล่นเพลงตัวเอง เกิดเป็นกำลังใจ เช่นเดียวกับละคร การแสดงแดนซ์ มันควรจะได้รับการยกเว้น หรือเขียนเงื่อนไขของกฎหมายให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสได้ใช้พื้นที่ ซึ่งมันไม่ต่างอะไรกับศิลปินที่ได้รับการยอมรับเป็นหมื่นเป็นแสนคน คุณเป็นศิลปินเล็ก คุณก็คุยกับคนกลุ่มนึง คุณเป็นศิลปินใหญ่มีคนเป็นแสนคุณก็คุยไป แต่ทุกคนควรมีโอกาสเหมือนกัน

คุณหมูมองอนาคตของ micro cinema ไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้ที่เราทำมันก็มีกลุ่ม micro cinema ซึ่งเกิดจากการที่คนในพื้นที่ต่างๆ เขาเห็นว่าพื้นที่ของเขามีศักยภาพที่จะสร้างชุมชนกลุ่มคนที่สนใจภาพยนตร์คล้ายกันมาดูด้วยกัน กลุ่มเหล่านี้เราก้มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จำนวนหนึ่งก็เริ่มตั้งหลักปักฐาน แบบว่ามีที่ฉายชัดเจน บางกลุ่มก็อาจจะไปขอความร่วมมือกับพื้นที่อื่นๆ เช่น คาเฟ่ ร้านหนังสือ อาร์ตแกลอรี่ ต่างๆ ถ้าเขาลงหลักสร้างกลุ่มคนของเขาได้แล้วเนี่ย เขาก็อาจจะทำให้พื้นที่ฉายหนังของเขาเป็นพื้นที่มันตั้งอยู่อย่างเป็นที่ทาง
เราก็หวังว่าตัวคอนเทนต์เอง แต่ละพื้นที่ก็อาจจะมีหนังอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องไปอิงกับส่วนกลาง เพื่อให้หนังบางกลุ่มมีโอกาส เช่น หนังท้องถิ่น ซึ่งในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ก็มีกลุ่มคนในพื้นที่ต่างๆ ทำหนังขนาดยาว ทำหนังมี potential ออกมามากขึ้น แต่ไม่ได้ถูกต้อนรับโดยอุตสาหกรรมภาพยนตร์กระแสหลัก คือคนเหล่านี้ทำด้วย passion ไม่ได้ตอบโจทย์ทางธุรกิจ พอจะฉายในวงกว้างก็ถูกปฏิเสธ แต่ถ้าเรามีพื้นที่ฉาย เขาจะสามารถยืนหยัดในสิ่งที่เขาทำ และดำรงตนในฐานะคนทำงานในด้านนี้บนความเชื่อและค่อยๆ พัฒนาให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น มีความสมบูรณ์ในตัวมันเองมากขึ้น ผมมองว่ามันคือพัฒนาอุตสาหกรรมโดยพื้นฐาน คือมันไม่ควรมีแค่คนประกอบ มันต้องมีรายเล็กรายน้อยสนับสนุนในเรื่องต่างๆ เพื่อให้การประกอบที่ว่ามันมีภาพที่สมบูรณ์ขึ้น
ทุกวันนี้เราว่าคนไปมากสุดได้แค่ช่างฝีมือ แต่ทำไม่มีคนที่สามารถพ้นไปจากช่างฝีมือ เป็นนักสร้างสรรค์ได้ อันนี้คือสิ่งที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่เราขาดแคลนในอุตสาหกรรม ณ เวลานี้
