“ไปสวิตเซอร์แลนด์กันไหม?”
หากใครได้ยินคำถามนี้ และมีเวลา (กับงบประมาณ) มากพอ ก็คงไม่ปฏิเสธง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ เพราะสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเมืองและธรรมชาติที่สวยสะกดราวกับความฝัน ทั้งยังมีคุณภาพชีวิตที่ดีติดอันดับโลก จึงเป็นจุดหมายปลายทางโปรดของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่อยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต และถึงแม้จะไม่ใช่ประเทศที่มีขนาดใหญ่โตมากนัก แต่ไม่ว่าจะกลับมากี่ครั้ง เราก็จะได้สัมผัสกับอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอไม่รู้เบื่อ
หนึ่งในสถานที่สุดสวยและมีเสน่ห์ของสวิตเซอร์แลนด์ที่เราอยากจะแนะนำให้รู้จักมากขึ้นคือ รัฐวาเล (Valais) ทางตอนใต้ของประเทศ วาเลมีพื้นที่ใหญ่สุดเป็นอันดับสามของสวิตเซอร์แลนด์ และมีชายแดนติดกับทั้งฝรั่งเศสและอิตาลี เมืองหลวงของรัฐมีชื่อว่าไซออน (Sion) รัฐวาเลนั้นโดดเด่นด้านธรรมชาติที่งดงามยิ่งใหญ่ วัฒนธรรมอาหารที่มีเสน่ห์ ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และเป็นสวรรค์แห่งการเล่นสกีและสโนว์บอร์ด และยังมีโอกาสพบวันฟ้าใสที่แดดส่องสว่างได้เยอะกว่าหลายๆ พื้นที่อีกด้วย จึงให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา สดใสอยู่ตลอดปี เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายแต่ก็ยังได้ความประทับใจแบบไม่แพ้ที่ไหนในสวิตเซอร์แลนด์
จริงๆ แล้วรัฐวาเลนั้นมีเมืองและสถานที่น่าเที่ยวหลายแห่งมาก แต่เราจะขอมาเล่าถึงสถานที่ไฮไลท์ที่เราว่าดีแบบไม่ซ้ำใคร และหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อมากนัก ถ้าใครอยากเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ในเมืองใหม่ มุมใหม่ ต้องตามรอยแล้วแหละ!
Leukerbad – หมุดหมายของนักผจญภัยและผู้หลงไหลในขุนเขา


สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว ลอยเคอร์บาด (Leukerbad) อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูนัก แต่ถ้าหากได้มีโอกาสไปแล้วจะต้องร้อง “อู้หูวววว” ตั้งแต่ก้าวแรกเลย (จริงๆ แล้วแค่ตอนนั่งรถจากสถานีรถไฟ Leuk ไปที่เมืองลอยเคอร์บาดก็วิวสวยสะกดมากแล้ว) ซึ่งเมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่สายผจญภัยผู้หลงไหลในขุนเขาจะต้องหลงรัก เพียบพร้อมทั้งสโลปสกีในช่วงฤดูหนาว ไปจนถึงเส้นทางเดินป่า ปั่นจักรยาน และปีนผาในช่วงอากาศอบอุ่น อีกหนึ่งเรื่องที่เมืองนี้โดดเด่นสุดๆ คือ ‘บ่อน้ำพุร้อน’ ท่ามกลางภูเขาหิมะที่พร้อมต้อนรับให้คนมาผ่อนคลายหลังกายใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงมาทั้งวัน โดยแหล่งน้ำที่นำมาใช้ในบ่อต่างๆ ล้วนเป็นน้ำที่เปี่ยมแร่ธาตุจากธรรมชาติ หรือถ้าใครแค่อยากมาพักผ่อนชมวิวสบายๆ ก็ย่อมได้ เพราะวิวที่นี่นั้นใช้คำว่าสวยได้เปลืองมากกกกก แถมถ้ามาถูกช่วง อาจจะได้สนุกไปกับบรรยากาศการแช่น้ำที่สนุกสุดเหวี่ยงด้วยแสง สี เสียงที่เค้าจัดให้พิเศษอีกด้วย


สำหรับใครที่อยากมาค้างคืนที่เมืองนี้ ที่นี่ก็มีโรงแรมน่ารักๆ อยู่เยอะพอสมควร หากใครอยากดื่มด่ำบรรยากาศของภูเขาหิมะแบบเต็มๆ ก็จะเป็น Gemmi Lodge 2350 ซึ่งมีทั้งสโลปสำหรับเล่นสกีและกิจกรรมอื่นๆ ที่พักวิวร้อยล้าน และร้านอาหารให้พักเหนื่อยหลังจากออกไปเล่นหิมะมาหลายชั่วโมง ซึ่งวิวจากตรงนี้คืออลังการสุดๆ แถมอาหารก็อร่อย ส่วนใครที่อยากแช่น้ำร้อนแบบฟินๆ ก็จะต้องลงจากยอดเขาไปพักในเมือง ซึ่งบางโรงแรมก็มีบ่อน้ำร้อนส่วนตัว แต่ถ้าเราจองโรงแรมที่ไม่ได้มีบ่อส่วนตัว ก็สามารถไปแช่น้ำที่ Leukerbad Therme ได้ สถานที่ใหญ่และมีบ่อหลากหลายแบบให้เลือกตามใจชอบ แถมยังมีงานแสดงแสง สี เสียง เป็นครั้งคราวด้วยนะ อันนี้น่าสนใจไม่ใช่เล่นๆ

Credit: ©My Leukerbad AG
Martigny – เมืองน่ารักที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งศิลปะ อาหาร และไวน์


เมืองเล็กๆ แห่งนี้อาจจะยังมีชื่อไม่คุ้นหูคนไทยสักเท่าไหร่ แต่อันที่จริงแล้ว เป็นเมืองที่สำคัญประจำรัฐวาเลเลยแหละ เพราะเป็นทั้งเมืองหลวงแห่งอาหารประจำรัฐ เป็นแหล่งปลูกไวน์อันมีชื่อเสียง และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและน่าสนใจไม่ใช่น้อย เพราะเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอีกด้วย!
ถึงแม้จะมีประชากรเพียงหลักหมื่น แต่เมืองมาร์ตีญี (Martigny) นั้นก็มีทุกอย่างครบครันสำหรับทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว มีร้านรวงมากมายให้ได้ทั้งชิมและช็อป ทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่ง พร้อมภูมิทัศน์ของขุนเขาสูงตระหง่านที่โอบล้อมทั้งเมืองไว้ และบ้านเรือนที่นี่ยังมีสีสันน่ารักๆ สบายตา เป็นเมืองที่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายพลุกพล่านแต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป อยากมาสัมผัสเมืองน่ารักๆ ก็ต้องมาที่นี่เลยจ้า
ถึงแม้จะมีประชากรเพียงหลักหมื่น แต่เมืองมาร์ตีญี (Martigny) นั้นก็มีทุกอย่างครบครันสำหรับทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว มีร้านรวงมากมายให้ได้ทั้งชิมและช็อป ทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่ง พร้อมภูมิทัศน์ของขุนเขาสูงตระหง่านที่โอบล้อมทั้งเมืองไว้ และบ้านเรือนที่นี่ยังมีสีสันน่ารักๆ สบายตา เป็นเมืองที่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายพลุกพล่านแต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป อยากมาสัมผัสเมืองน่ารักๆ ก็ต้องมาที่นี่เลยจ้า


ในด้านการท่องเที่ยวแล้ว มาร์ตีญีมีชื่อเสียงในฐานะจุดหมายปลายทางแห่ง ‘ศิลปะ’ เพราะเป็นที่ตั้งของ Pierre Gianadda Foundation อันโด่งดัง ซึ่งเป็นศูนย์วัฒนธรรมที่มีงานแสดงที่หลากหลาย ตั้งแต่งานแสดงศิลปะระดับโลก พิพิธภัณฑ์รถยนต์ ไปจนถึง sculpture park ที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่ใช่น้อย นอกจากด้านงานอาร์ตแล้ว ที่นี่ยังมี Barryland บ้านของน้องหมาประจำชาติสวิตเซอร์แลนด์อย่าง ‘เซนต์เบอร์นาร์ด’ ที่ก่อตั้งโดย Barry Foundation เพื่อดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของน้องๆ ในทุกด้าน ทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเซนต์เบอร์นาร์ดและชาวสวิส โดยมีฮีโร่อย่างเจ้า ‘แบร์รี่’ ที่ได้ช่วยเหลือคนจากเหตุการณ์หิมะถล่มไว้หลายสิบคนเมื่อครั้งอดีต จนกลายเป็นเรื่องเล่าที่น่าประทับใจถึงความฉลาดและใจงามของน้องๆ พันธุ์นี้ แถมมาที่นี่ก็จะได้เห็นน้องๆ ตัวจริงอีกด้วย! (น้องไม่ค่อยสู้ความร้อนจึงหาในเมืองไทยได้ค่อนข้างยาก)


‘อาหาร’ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เมืองมาร์ตีญีโดดเด่นเป็นพิเศษ ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่ารัฐวาเลนั้นโด่งดังเรื่องผลไม้ ไวน์ ชีส และชาร์กูว์ทรี (charcuterie) เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไวน์ที่ผลิตกันมาอย่างยาวนาน และสภาพดินฟ้าอากาศที่ทำให้องุ่นไวน์นั้นมีรสเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นบ้านขององุ่นพันธุ์ที่หาชิมที่อื่นได้ยาก หนึ่งในร้านอาหารที่เหมาะกับการลิ้มรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มประจำท้องที่คือ Plan-Cerisier ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางไร่องุ่น และเน้นใช้วัตถุดิบในท้องที่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชีส เนื้อโคลด์คัท ไปจนถึงไอศกรีมแอพริคอตและเมนูอื่นๆ ใครที่ชอบกินอะไรแบบโลคอลแท้ๆ จะต้องปลื้มถ้าได้มาเยือนถิ่นนี้แน่นอน

Saint Léonard - เมืองเล็กๆ ที่ซ่อนธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ไว้!


อีกหนึ่งเมืองเล็กๆ ที่มีบรรยากาศน่ารักและทิวทัศน์ที่สวยงาม ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมมากมาย แต่ก็เป็นจุดที่ควรแวะเวียนมาอย่างยิ่งหากมีโอกาส เพื่อชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หาดูได้ยากแห่ง Saint Léonard Underground Lake ณ เมืองแซ็งต์-เลโอนาร์ (Saint Léonard)
Saint Léonard Underground Lake เป็นหนึ่งในธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ใจของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีทั้งความงามที่แปลกตาและเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยที่แห่งนี้เป็นทะเลสาบที่อยู่ใต้ดินอีกทีในเทือกเขาแอลป์ของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นทะเลสาบใต้ดิน (subterranean lake) ที่ใหญ่ที่สุดที่เข้าไปได้ทางเรือในยุโรป จริงๆ แล้วชาวพื้นเมืองสมัยก่อนก็รู้อยู่แล้วแหละว่าบริเวณนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ จากการที่พวกเขาใช้น้ำเย็นปริศนาในการแช่ขวดไวน์มาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีใครกล้าเยื้องกรายเข้าไป จนกระทั่งเมื่อ 80 ปีที่แล้วก็ได้มีกลุ่มนักสำรวจได้กล้าเข้าไป ได้ค้นพบความมหัศจรรย์ที่หลบซ่อนอยู่ และเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวจวบจนปัจจุบัน เพราะซึ่งบรรยากาศด้านในนั้นทั้งสวยงามแบบลึกลับและอลังการ น้ำในทะเลสาบก็ใสกิ๊งจนอยากลงไปว่าย (แต่ทำไม่ได้นะ!) มีปลาว่ายเวียนมาทักทายเป็นครั้งคราว เรื่องราวด้านธรณีวิทยาของที่นี่ก็น่าสนใจมาก นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงดนตรีสดอยู่เรื่อยๆ ด้วยนะ น่าไปมากๆ
นอกจากนี้ การเดินทางมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็สะดวกสบาย สามารถลงรถไฟที่สถานี Saint Léonard และเดินอีกราวๆ สิบนาทีก็ถึงแล้ว แถมวิวระหว่างทางคือดี เดินได้เพลินมาก มีค่าเข้าสำหรับนั่งเรือเข้าชมพร้อมไกด์อยู่ที่ CHF 12 (แนะนำให้จองล่วงหน้า) ใช้เวลาสำรวจทะเลสาบประมาน 40 นาที ซึ่งรับรองว่าเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นจนผ่านไปไวมาก และที่นี่ยังมีนิทรรศการเล็กๆ เกี่ยวกับธรณีวิทยาให้เรียนรู้ระหว่างรอรอบเรือ หรือจะนั่งชิลๆ ที่คาเฟ่ก็ได้ ไม่ต้องกลัวเบื่อเลย
Zermatt – บ้านของ Matterhorn อันโด่งดัง แต่ก็ยังมีดีอีกเพียบ!


สำหรับแซร์มัท (Zermatt) หลายคนน่าจะเคยได้ยินไม่ก็เคยมาเที่ยวแล้วเรียบร้อย เพราะเป็นหนึ่งในหมุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มีไฮไลต์เป็นยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) อันโด่งดัง ที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณหมู่บ้านได้ในวันฟ้าเปิด หรือจะนั่งรถไฟ Gornergrat ขึ้นไปชื่นชมแบบใกล้ชิดก็ยิ่งฟิน แถมยังมีสโลปสกีอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะมือใหม่หรือเซียนแค่ไหนก็มาเล่นได้ สำหรับช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ เทือกเขาที่เคยมีหิมะปกคลุมก็จะแปลงกายเป็นขุนเขาเขียวฉอุ่ม พร้อมต้อนรับนักเดินป่าให้มาชมธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ สำหรับใครที่อยากพักผ่อนชิวๆ ก็จะเลือกไปแช่น้ำที่สปาต่างๆ ท่ามกลางวิวตระการตาก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย – ใครมาเมืองนี้ ไม่ต้องกลัวไม่มีอะไรทำ แถมแต่ละกิจกรรมคือสุดฟิน (จริงๆ นั่งเหม่อชมวิวก็ฟินมากแล้ว)


ในตัวหมู่บ้านของแซร์มัทนั้นก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน และสามารถเดินไปที่ต่างๆ ได้แบบไม่ต้องพึ่งรถ ต้องขอบอกก่อนว่าเรานำรถยนต์เข้าไปในบริเวณนี้ไม่ได้นะ เพราะเขามีกฎให้ใช้ได้แค่รถยนต์ไฟฟ้าของหมู่บ้านเท่านั้น และถ้าใครไม่ถนัดเดิน ก็ใช้บริการแท็กซี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ และด้วยเหตุนี้ทำให้อากาศที่แซร์มัทนั้นบริสุทธิ์มาก หายใจได้เต็มปอดแบบไม่ต้องกลัวฝุ่นพิษได้เลย

ถนนที่คึกคักสุดประจำหมู่บ้านคงไม่พ้น Bahnhofstrasse ถนนเส้นหลักที่ตัดผ่านสถานนีรถไฟ ร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมหลายแห่ง เป็นถนนมีทุกอย่างครบครันมาก ถ้าใครรู้สึกว่ายังพกอุปกรณ์กันหนาวมาไม่เพียงพอ หรือรองเท้าพังระหว่างทาง ที่นี่ก็มีร้านขายของเพียบ แถมยังมีร้านอาหารที่น่าสนใจหลายร้านเลย ตอบโจทย์ทุกเรื่องในถนนเส้นเดียว แต่นอกจากถนนเส้นหลักนี้แล้ว เราอยากแนะนำให้ลองเดินสำรวจส่วนอื่นของหมู่บ้านด้วย เพราะหมู่บ้านเขาน่ารักมากๆ แถมบางจุดก็สามารถเห็นยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นได้อย่างชัดเจน สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปจุดไหนดี หรืออยากหากิจกรรมเล่นสนุกๆ ระหว่างวัน โดยเฉพาะใครที่ไปกับเด็กน้อย ก็สามารถติดต่อที่ Zermatt Tourist Information Center เพื่อรับลายแทง Treasure Hunt ที่จะนำทางไปในจุดต่างๆ ที่น่าสนใจของแซร์มัท แถมใครทำมิชชันสำเร็จ ก็มีของที่ระลึกน่ารักๆ ให้ด้วยนะ


และแล้วก็มาถึงช่วงแจกลายแทงร้านอาหาร – เนื่องจากที่แซร์มัทนั้นมีร้านอาหารเยอะมากจนอาจจะเลือกไม่ถูก เราเลยอยากแนะนำร้านที่เราว่าเด็ดอย่าง Schäferstube เหมาะสำหรับคนที่อยากได้บรรยากาศอบอุ่นแบบ Traditional Swiss และลิ้มรสอาหารท้องถิ่นต้นตำรับต่างๆ รวมไปถึงชีสฟองดูแบบจุใจ ส่วนใครที่อยากไปร้านอาหารคอนเซ็ปต์ดีๆ พร้อมวิวงามๆ แนะนำให้ไปที่ร้าน BAZAAR ณ โรงแรม CERVO ที่มีการตกแต่งและบรรยากาศเก๋ไก๋ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตลาดอันคึกคักในแดนตะวันออกกลาง โดยอาหารที่นี่จะเน้นเมนูมังสวิรัติที่มีกลิ่นอายของตะวันออกกลางเช่นกัน แถมรายการเครื่องดื่มยังน่าสนใจสุดๆ สำหรับใครที่คิดถึงรสชาติของอาหารเอเชีย หรืออยากไปนั่งจิบกาแฟช้าๆ คุยกับเพื่อนในร้านน่ารักๆ สักแห่ง ไปที่ร้าน Manud เลยจ้า


ทีนี้เราก็จะเห็นแล้วว่าที่แซร์มัทนั้น นอกจากการไปชมยอดเขาแมทเทอร์ฮอร์นด้วยตาตัวเองแล้ว ยังมีอะไรให้ทำเยอะมากๆ ถ้าอยากได้ประสบการณ์แบบตราตรึงใจ จึงควรพักที่นี่หลายวันหน่อย เพราะบางวันอากาศอาจไม่เอื้ออำนวยให้ขึ้นไปจุดไฮไลท์อย่างแมทเทอร์ฮอร์น แต่ไม่ว่าอากาศจะใจดีกับเราหรือไม่ แค่ได้มาเยือนที่นี่ก็รับรองว่าจะประทับใจไม่รู้ลืม ยิ่งถ้ามาช่วงใกล้ๆ อีสเตอร์ อาจจะได้มีโอกาสฟังดนตรีเพราะๆ พร้อมแบ็คดรอปสุดโรแมนติกแบบที่ไม่มีที่ไหนเหมือนได้ที่งาน Zermatt Unplugged ซึ่งเขาจัดทุกปี คนรักดนตรีต้องชอบมากแน่ๆ
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าตื่นเต้นของเมืองนี้ก็คือ Matterhorn Alpine Crossing เคเบิลคาร์สายใหม่ที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2023 ที่จะพาเราข้ามไปหรือข้ามมาจากอิตาลีได้สบายๆ พร้อมวิวที่อลังการยิ่งขึ้น เผยให้เห็นมัทเทอร์ฮอร์นในมุมมองใหม่ ทั้งยังมีกิจกรรมตื่นตาเพิ่มขึ้น ถึงใครจะเคยมาที่แซร์มัทแล้ว ก็ต้องกลับมาซ้ำแล้วแหละ!
Glacier Express


หนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนสวิตเซอร์แลนด์ก็คือการ ‘นั่งรถไฟ’ เพราะไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นที่ไหน วิวระหว่างทางก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจได้เสมอ ซึ่งถ้าใครมีแผนจะมาเที่ยวในแถบรัฐวาเล ก็ไม่ควรพลาดประสบการณ์การเดินทางกับ Glacier Express บนหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้

รถไฟสาย Glacier Express จะเริ่มต้นที่สถานี Zermatt แห่งรัฐวาเล และสิ้นสุดที่สถานี St. Moritz แห่งรัฐเกราบึนเดิน (Graubünden) และนั่งย้อนกลับในเส้นทางเดียวกันได้ โดยขบวนรถไฟจะเคลื่อนตัวผ่านขุนเขา ทุ่งหญ้า ลำธาร และหมู่บ้านต่างๆ อย่างช้าๆ โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง (สามารถลงสถานีระหว่างทางได้) อีกหนึ่งจุดเด่นคือกระจกที่กว้างไปจนถึงเพดาน ทำให้เห็นวิวอลังการได้เต็มตาจากเบาะนั่งสุดสบาย ทั้งยังมีอาหารหลากเมนูให้พร้อมสรรพ ดังนั้น ถึงแม้อาจจะฟังดูใช้เวลาเดินทางนานเสียหน่อย แต่เมื่อมีทั้งวิวที่งามราวกับสวรรค์กับอาหารอร่อยๆ หรือเครื่องดื่มที่เราถูกใจ เวลามันก็ผ่านไปไวเหลือเกิน แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น ของแบบนี้ต้องมาลองด้วยตัวเองนะ!


สำหรับใครที่มี Swiss Pass อยู่แล้วก็สามารถใช้ขึ้นรถไฟสายนี้ได้อีกด้วย แต่ก็ต้องจองที่ล่วงหน้า (มีค่าจองที่เพิ่มเติม) เพราะใครๆ ก็อยากขึ้นมาลิ้มรสประสบการณ์ของ Glacier Express กันทั้งนั้น ดังนั้นถ้ามีโอกาส ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงนะ
รัฐวาเลยังมีสถานที่สวยๆ และกิจกรรมที่น่าสนใจอีกเยอะมากกกกก ตอบโจทย์ทุกคนแน่นอน ไม่ว่าจะมาเที่ยวกับครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก ถ้าใครอยากรู้จักที่นี่มากขึ้น ก็สามารถเข้าไปติดตาม https://www.facebook.com/Valaiswallisth หรือ https://www.valais.ch/en ได้เลยจ้า