Skip to main content
AdSense

พาไปเที่ยว Tigerland Rice Farm กับชีวิตแบบชาวนา

มาเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบฟาร์มสเตย์กันเถอะ

พาไปเที่ยว Tigerland Rice Farm กับชีวิตแบบชาวนา
May 27, 2016 Bangkok time

คนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่รู้ไหมว่ากว่าจะได้ข้าวมาจานหนึ่งนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง เราอยากชวนทุกคนเดินทางไปจังหวัดเหนือสุดของประเทศเพื่อทดลองปลูกข้าวที่ Tigerland Rice Farm ชาวนาฝึกหัดอย่างเราจะรอดไหม ตามมาดูเลย

 

 

 

จากสนามบินเชียงรายถึงปากทางเข้า Tigerland Rice Farm ใช้เวลาราว 30-40 นาทีเท่านั้น คุณคิต หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ออกมาต้อนรับพร้อมนำทางพวกเราเดินเท้าต่ออีกประมาณ 15 นาทีเพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน ฟังแล้วไม่ต้องกลัว เพราะคนที่ออกกำลังกายแค่สัปดาห์ละครั้งอย่างเรายังเดินได้สบายๆ ระหว่างทางมีวิวท้องนาสวยๆ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องหยุดถ่ายรูปและชื่นชมความงาม

 

 

ก่อนจะไปแปลงร่างเป็นชาวนา เราแวะเติมพลังก่อน ณ บ้านไม้ขนาดย่อมซึ่งเป็นที่พักของครอบครัวคุณคิต และเป็นที่พักของทุกคนที่แวะเวียนมาที่นี่ Tigerland Rice Farm เปิดเป็นฟาร์มสเตย์มาตั้งแต่ปี 2552 จากไอเดียของ Alvin Yong ชาวสิงคโปร์ที่ตกหลุมรักเมืองไทยและอยากให้ลูกๆ ได้สัมผัสธรรมชาติ และคิต-ยงยุทธ วาทะสิทธิกุล ทายาทรุ่นที่ 2 ของครอบครัวชาวนาชาวกะเหรี่ยง

 

ชื่อ Tigerland มีที่มาจากตำนานที่เล่าขานต่อกันมาว่า คุณปู่ของคุณคิตสามารถฆ่าเสือที่บุกมาทำร้ายคนในหมู่บ้านได้ด้วยมือเดียว ใครๆ จึงเรียกเขาว่าปู่เสือ และฟาร์มสเตย์แห่งนี้ก็ได้ชื่อตามคุณปู่นั่นเอง


 

นอกจากข้าวแล้ว เราไม่รู้จักอย่างอื่นที่วางอยู่ตรงหน้าเลย คุณคิตเดินมาอธิบายแต่ละเมนูให้ฟังด้วยตัวเอง แกงข้าวเบิ๊บ คือแกงผักท้องถิ่นหลากชนิดผสมกับข้าว ให้ความรู้สึกเหมือนกินข้าวต้มทรงเครื่อง บางทีคนก็เรียกว่าแกงกู้ชาติ เพราะแกงนี้มีที่มาจากความแร้นแค้น ข้าวไม่พอกิน จึงต้องต้มทุกอย่างรวมกันในหม้อเดียว แกงเย็นเป็นอีกหนึ่งแกงที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของคนพื้นที่ น้ำซุปเย็นสมชื่อเพราะในช่วงสงครามที่ชาวกะเหรี่ยงอพยพหนีเข้าป่า พวกเขาต้องปรุงอาหารโดยไม่ใช้ไฟ เราชอบเมนูนี้เป็นพิเศษเพราะหอมกลิ่นปลาแห้งอันเป็นส่วนผสมหลัก

 

 

 

ลาบหัวปลีได้ชื่อว่าลาบแต่หน้าตาเหมือนห่อหมกไม่มีผิด จานนี้อร่อย เผ็ดนิดเค็มหน่อย คนที่ไม่ชอบกินหัวปลีอย่างเรายังจ้วงกินไปเยอะมาก และเมนูสุดท้ายคือน้ำพริกถั่วดินซึ่งทำมาจากถั่วลิสงคั่ว เป็นอีกหนึ่งเมนูที่หอมอร่อยจนขอดถ้วย แน่นอนว่าเรากินทุกอย่างแนมด้วยผักสดๆ ที่หาได้ในท้องถิ่นและข้าวลายเสือซึ่งเป็นของดีประจำเชียงราย (ซึ่งจริงๆ เป็นพันธุ์พื้นเมืองของแม่ฮ่องสอน และไม่มีความเกี่ยวข้องกับปู่เสือเลย ชื่อข้าวได้มาจากลายบนเปลือกข้าวที่เหมือนลายเสือจ้ะ)

 

 

ที่ขาดไม่ได้คือของหวานตบท้ายอย่างข้าวปุ๊ก (ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่นี่มักกินเป็นของว่างมากกว่า) ข้าวตำจนเหนียวแล้วเอาไปทอดจนกรอบนอกนุ่มใน จิ้มกินกับนมข้นหวานหรือน้ำผึ้งตอนร้อนๆ เด็กติดคาร์บอย่างเราเทใจให้เลย!


 

 

พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน แต่เราต้องต่อสู้กับความง่วงเพื่อไปถอนกล้าข้าว ความจริงแล้วโปรแกรม 1 วันที่ Tigerland Rice Farm ต้องเริ่มต้นที่การทำฝายไม้ไผ่ชักน้ำเข้านาก่อน แล้วจึงไปหยอดเม็ดข้าว แต่เรามีเวลาจำกัดแถมมาถึงสายอีกต่างหาก จึงข้ามขั้นไปถอนต้นกล้าเลย ความสนุกก่อนลงแปลงคือเราได้เลือกชุดชาวเขาของตัวเองด้วยนะ มีตั้งแต่สีสันสดใสไปจนถึงสีขาวครีมสุดมินิมัล

 

 

 

การถอนต้นกล้าจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก เราต้องออกแรงดึงให้กล้าข้าวหลุดออกมา แต่ก็ต้องยั้งมือไว้ไม่ให้รากหลุดหมด บอกเลยว่าคนที่โปรสุดคือลูกชายตัวจ้อยของคุณคิตที่มาร่วมสนุกกับเราด้วย พอได้กล้าข้าวกันมาคนละกำสองกำ คุณคิตก็นำทางชาวนาฝึกหัดอย่างเราไปดำนา

 

นาที่เราทำเรียกว่านาดอซึ่งหมายถึงนาหน้าแล้ง คราวนี้แหละงานสนุก เพราะจะได้เลอะเทอะกันแบบเต็มๆ กรรมวิธีก็ง่ายมาก แค่ปักลงไปพอให้ตั้งได้ แต่ความโหดอยู่ที่ต้องก้มตลอดเวลา พอดำนาเสร็จแล้วก็ปวดหลังกันไปตามๆ กัน

 

 

 

เสร็จแล้วก็ไปล้างเนื้อล้างตัว แต่ความสนุกยังไม่หมดแค่นี้ เพราะเราได้ไปลองตำข้าวเปลือกด้วยครกไม้สุดหวาดเสียว คนเหยียบน่ะไม่เป็นไรหรอก แค่ออกแรงทิ้งน้ำหนักให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แต่คนที่ต้องยื่นมือไปกลับเมล็ดข้าวในครกนี่สิที่ต้องคอยดูจังหวะให้ดี ไม่งั้นมือจะหลุดไปพร้อมกับเปลือกข้าว!

 

 

 

เสร็จแล้วเราก็เอาข้าวมาฝัดในกระด้งเพื่อแยกเปลือกออกให้เหลือแต่เมล็ดข้าว เห็นพี่เค้าทำดูง่ายๆ แค่สะบัดข้อมือนิดหน่อยเปลือกข้าวก็ปลิวไปตามลมแล้ว แต่พอเราลองทำบ้างนะ นึกว่าโปรยทาน ข้าวหล่นไปครึ่งกระด้ง ดีที่ฟาร์มเลี้ยงไก่ด้วย ถือว่าให้อาหารล่วงหน้าก็แล้วกัน


 

ก่อนกลับเรายังได้แวะกินแตงโมหวานฉ่ำและกาแฟสูตรเด็ด ความพิเศษอยู่ที่การตระเตรียมแบบชาวเขา นั่นคือการต้มน้ำกับเมล็ดกาแฟป่น จากนั้นจึงกรองกากออกก่อนดื่ม ถ้าใครชอบหวานก็เติมน้ำผึ้งได้ ความดีงามคือกาแฟเสิร์ฟมาในแก้วไม้ไผ่ ให้ฟีลธรรมชาติสุดๆ

 

สำหรับคอร์ส 1 วัน 4,000 บาท เราคิดว่าประสบการณ์ที่ได้รับคุ้มค่ากับแบงก์พันที่ยื่นไปนะ เพราะนอกจากเราจะได้ไปเรียนรู้วิถีชาวนาตั้งแต่ต้นจนจแล้ว เรายังได้ปลีกตัวจากความวุ่นวายไปให้ธรรมชาติโอบกอด อีกทั้งได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนชุมชนด้วย

 

ตอนนี้คุณคิตเป็นหัวเรือใหญ่ของ Piggies Project โครงการที่ให้ทุนเด็กๆ ในหมู่บ้านไปซื้อหมูมาเลี้ยงด้วยตัวเอง เด็กๆ จะได้ฝึกความรับผิดชอบและได้รายได้เสริม เมื่อครบ 1 ปีจึงค่อยคืนทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย เพื่อหมุนเวียนไปให้เด็กคนอื่นๆ อีก นอกจากนี้ในอนาคตคุณคิตยังวางแผนจะเปิดห้องสมุดชุมชน โดยหนังสือก็ได้บรรดานักเดินทางจากทั่วโลกที่เคยแวะเวียนมาที่นี่ส่งมาให้นั่นเอง

 

 

คุณคิตเคยเป็นไกด์ในบริษัททัวร์ขนาดเล็กมาก่อน แต่ก็ต้องยอมยกธงขาวกลับมาทำนาที่บ้านเพราะสู้บริษัททัวร์ขนาดใหญ่ไม่ไหว แต่ Tigerland Rice Farm คือข้อพิสูจน์หนึ่งว่าคนตัวใหญ่ไม่สามารถผูกขาดการท่องเที่ยวได้ ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องเดินเที่ยวชมสถานที่สำคัญแล้วก็กลับ แต่เราสามารถมาเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตจริงๆ ของคนท้องถิ่น ด้านชุมชนก็สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน นี่แหละการท่องเที่ยวในฝันของเรา :)


รายละเอียดเพิ่มเติม

 

- โปรแกรม 1 วัน ราคาคนละ 4,000 บาท, 2 คนขึ้นไป คนละ 3,500 บาท

 

- โปรแกรมอื่นๆ ราคาคนละ 4,500-25,000 บาท สามารถเลือกได้ว่าอยากอยู่กี่วันกี่คืน และมีกิจกรรมเพิ่มเติม เช่น เดินป่า นั่งสมาธิ ทำอาหาร ทอผ้ากี่ เล่นโยคะ รวมทั้งมีกิจกรรมอาสาสมัคร เช่น สร้างห้องน้ำ สอนภาษาให้เด็กในชุมชน  

 

- ขอเตือนว่ามีห้องน้ำแค่ห้องเดียวและฟาร์มสเตย์ไม่ติดแอร์จ้า

 

Tigerland Rice Farm บ้านห้วยขม ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย โทร.095-675-4995, 081-148-1979 www.tigerlandricefarm.biz มีบริการรับส่งจากสนามบินหรือที่อื่นๆ ตามแต่ตกลง


 

 

AdSense
AdSense
AdSense