เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน Gong Coffee (ก้อง คอฟฟี่) ไร่กาแฟออร์แกนิคใน จ.ระนอง ที่เราได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานักต่อนัก และเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นจุดหมายห้ามพลาดของคอกาแฟทุกคน
เราเดินทางมาถึงก้อง คอฟฟี่ ในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่พอก้าวเข้าไปในเรือนไม้ใต้ถุนสูงที่ตั้งอยู่เคียงข้างน้ำตกและลำธารสายเล็กๆ แล้วบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเป็นคนละโลก เราได้กลิ่นหอมเมล็ดกาแฟคั่วจากไกลๆ และได้ลองดื่มคาปูชิโนเย็นแก้วแรก เป็นจังหวะที่พี่ก้อง-สุพจน์ กรประสิทธิ์วัฒน์ เจ้าของไร่กาแฟโรบัสตาแห่งนี้ได้เข้ามาทักทายพอดิบพอดี

พี่ก้องมีความสนใจเรื่องกาแฟเป็นทุนเดิม หลังเรียนจบในกรุงเทพฯ แล้วจึงออกเดินทางเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกาแฟมากขึ้น หลังจากนั้นจึงกลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่ระนองและเริ่มปลูกกาแฟเพื่อดื่มเอง เราสัมผัสได้ถึงความชื่นชอบและหลงใหลในกาแฟของพี่ก้องได้ตลอดเวลาที่พูดคุยกัน เราจึงไม่รอช้าและตามพี่ก้องไปลองคั่ว บด และชงกาแฟด้วยตนเองในบริเวณโรงคั่วที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเรือนไม้คาเฟ่แห่งนี้

โรงคั่วของพี่ก้องนี่โฮมมี่สุดๆ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว บรรยากาศโล่งโปร่ง มีตู้โชว์ข้าวของและอุปกรณ์ชงกาแฟเรียงรายเต็มไปหมด พี่ก้องเชื้อเชิญให้เรานั่งตรงโต๊ะไม้ตัวยาว บนโต๊ะมีเตาสนามสี่ขากับแก๊สกระป๋อง กระทะทองเหลือง เครื่องบดกาแฟด้วยมือ เมล็ดกาแฟ และแก้วช็อตสำหรับจิบชิมอีกหลายใบ

พี่ก้องเล่าให้ฟังว่าประเทศไทยเราแสนจะโชคดี เพราะไม่ว่าจะพื้นที่ไหนก็ปลูกกาแฟได้หมด พี่ก้องยังเสริมอีกว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะปลูกเองได้ที่บ้าน เพียงแค่ไม่กี่ต้นก็สามารถมีกาแฟดื่มได้ทั้งปี และไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพงเพื่อคั่ว บด และชง ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยสองมือของมนุษย์นี่แหละ


เราได้ลองคั่วเมล็ดกาแฟในกระทะทองเหลืองโดยใช้ไม้พายคั่วให้ตัวเมล็ดสัมผัสความร้อนอย่างทั่วถึง เมื่อคั่วไปสักพักเปลือกของเมล็ดกาแฟจะเริ่มหลุดออก จากนั้นเราจะได้ยินเสียง “ป็อป” เบาๆ และผิวเมล็ดด้านนอกจะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำว่า “คั่วอ่อน คั่วปานกลาง คั่วแก่” ก็เกิดจากระยะเวลาที่เราคั่วนี่แหละ ยิ่งใช้เวลานานก็ยิ่งแก่ เมล็ดก็จะสีเข้มมากขึ้น


เราคั่วเมล็ดกาแฟออกมาเป็น 3 แบบคือ อ่อน ปานกลาง และแก่ แต่ละแบบมีกลิ่นต่างกันอย่างชัดเจน ยิ่งคั่วแก่กลิ่นก็ยิ่งเข้มและชัดเจน เราใส่เมล็ดลงในเครื่องบดที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเครื่องเหลาดินสอ จากนั้นจึงเริ่มบดโดยการหมุนด้ามบดด้านบนเป็นวงกลม ซึ่งเมล็ดคั่วอ่อนจะต้องใช้แรงบดเยอะที่สุด และผงกาแฟบดจะทิ้งตัวลงมาอยู่ในลิ้นชักด้านล่าง ทีนี้ก็ถึงเวลาชงกาแฟกันแล้ว!

วิธีการชงกาแฟบนโลกมีมากมาย พี่ก้องไม่เชียร์ว่าวิธีไหนเจ๋งที่สุด เพราะการชงที่แตกต่างก็ทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป สำหรับครั้งนี้พี่ก้องเลือกใช้วิธีการชงแบบ Moka Pot กาสเตนเลสทรงสูง 2 ส่วน โถล่างสำหรับใส่น้ำ มีกรวยใส่ผงกาแฟ จากนั้นจึงประกบกับโถบนที่มีท่อแหลมเรียวพร้อมรู 2 รูซึ่งน้ำกาแฟจะถูกแรงดันน้ำเดือดผ่านขึ้นมา เท่านี้เราก็ได้จิบกาแฟแฮนด์เมดฝีมือตัวเองทุกขั้นตอนแล้ว
เมล็ดกาแฟโรบัสตาของพี่ก้องติดรสเปรี้ยวเมื่อแรกจิบ แต่เมื่อกลืนแล้วจะทิ้งความหวานเป็นอาฟเตอร์เทสอบอวลอยู่ในปาก ความดีงามคือไม่ขมเลยสักนิดเดียว แถมพี่ก้องยังเสริมด้วยว่าเมล็ดเพียงกำมือเดียวที่เราได้คั่วบดมาทั้งหมดนี้สามารถชงเป็นกาแฟได้มากกว่า 10 แก้วช็อตเชียวนะ

หลังจากชิมกาแฟไปหลายแก้วจนเรามั่นใจว่าคืนนั้นต้องไม่ได้นอนแน่ๆ พี่ก้องก็เซอร์ไพร้ส์เราด้วยชาดอกกาแฟ ซึ่งเจ้าดอกกาแฟนี่จะมีปีละครั้งเท่านั้น เป็นความเฮงของเราจริงๆ ที่แวะไปในช่วงนั้นพอดี ไอเดียของชาดอกกาแฟนี่ก็ไม่ต่างจาก Infused Tea เลย ตากดอกกาแฟให้แห้งแล้วเทน้ำร้อนใส่ รอแค่อึดใจเดียวก็ได้จิบชาหอมๆ อารมณ์เดียวกับกาแฟแต่ไม่มีคาเฟอีน แอบบอกว่าแบบแช่เย็นนี่สดชื่นเหมาะกับช่วงซัมเมอร์สุดๆ
เมื่อรู้กรรมวิธีทั้งหมดแล้ว เราจะตระหนักได้ว่ากาแฟดีๆ สักแก้วไม่สมควรจะแพงเกินจริง อย่างกาแฟของพี่ก้องอยู่ที่แก้วละ 40-60 บาทเท่านั้นเอง ใครที่อยากเรียนรู้เรื่องกาแฟตั้งแต่ต้นยันจบก็ลองแวะเวียนไปทักทายพี่ก้องได้ที่ Gong Coffee เลย :)

วิสาหกิจชุมชนฯ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ก้องวัลเล่ย์, 62/1 หมู่ 8 อ.กระบุรี จ.ระนอง โทร. 095-414-9952 fb.com/GONGCOFFEE