Little Bao
ในที่สุดร้านที่หลายคนรอคอยก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วจ้า Little Bao เป็นร้านอิมพอร์ตมาจากฮ่องกง และสาขานี้ที่ 72 Courtyard ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ขยับขยายมาเปิดเป็นสาขาที่สอง โดยเน้นเมนูอาหารจีนประเภทสตรีทฟู้ดที่นำเสนอใหม่ให้มีสีสันมากขึ้น สามารถสั่งค็อกเทลอร่อยๆ มาทานคู่กันได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่เป็นดาวเด่นของร้านที่ทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากในฮ่องกง คือเมนูเปาเบอร์เกอร์แป้งซาลาเปาเสิร์ฟกับไส้เด็ดๆ อย่างหมูสามชั้น ไก่เสฉวนสุดกรอบ เทมปุระปลา และเห็ดชิตาเกะเทมเป้ (240 บาท) แต่ถ้าชอบของหวานมากกว่าก็อย่าลืมสั่งแซนวิชไอศครีมแป้งซาลาเปาทอด (120บาท) โดยได้ไอศครีมรสชาติไม่เหมือนใครจาก Guss Damn Good
Rocket X
โดดเด่นอยู่ด้านหน้าของ 72 Courtyard คือ Rocket X สาขาที่สี่ในกรุงเทพฯ ซึ่งจะเน้นอาหารประเภท grab & go และเมนูอาหารทานง่าย อาทิ สลัด แซนวิช และเมนูขนมปังเพสทรีหอมอร่อย นอกจากนี้ยังมีเมนูเบเกิ้ลใหม่ๆ ให้ลองกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นไส้ BLT, แซลมอน หรือ เนยถั่วแยม กาแฟเริ่มต้นที่ราคา 80 บาท และน้ำผลไม้สกัดเย็นอยู่ที่ 125 บาท ในวันที่อากาศดีสามารถนั่งด้านนอกได้สบายๆ หรือถ้าอยากนั่งทำงานด้านในตลอดวันก็ไม่ผิด เพราะที่ร้านมี wifi และปลั๊กให้ใช้นะ
Evil Man Blues
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบาร์โปรดของเราในโครงการเลยก็ว่าได้ เพราะ
Evil Man Blues นั้นมีการออกแบบด้วยธีม ‘50s เหมือนร้านไดเนอร์สไตล์อเมริกัน และตกแต่งด้วยไฟสีม่วงผสมนีออนออกมาได้อย่างลงตัว แถมด้วยป้ายนีออนน่ารักๆ น่าถ่ายรูปมากๆ (
I think you’re mad cute ;)) จะลากเก้าอี้มานั่งบริเวณบาร์หรือจะหลบไปนั่งในบูธกับกลุ่มเพื่อนก็ดี และด้วยดนตรีแจ๊สสดในพื้นหลัง ทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในบาร์แถบ west coast แนวๆ เลยล่ะ ทุกวันพุธ-เสาร์จะได้
Dan Phillips และ Bangkok Edge Quartet มาโชว์ฝีมือด้วยนะ
Touche Hombre
ผันมาลองฝั่งเม็กซิกันดูบ้าง ตั้งอยู่ข้างๆ กับ Evil Man Blues เลยคือ Touche Hombre บาร์จากออสเตรเลียที่เชี่ยวชำนาญในเครื่องดื่มเม็กซิกันสุดๆ เราชอบบรรยากาศแนวสตรีทอาร์ตด้านในบวกกับดนตรีฮิพฮอพในพื้นหลัง (ตอนนั้นเราได้ฟังตั้งแต่ Chris Brown, Bryson Tiller ยัน Rihanna)
นอกเหนือจากเครื่องดื่มแล้ว อาหารของทางร้านก็ดีงามไม่แพ้กัน โดยมีการดัดแปลงเมนูที่เราคุ้นเคยอย่าง guacamole, tacos, สลัดเม็กซิกัน และเมนูเนื้ออีกหลายประเภท ทางร้านนำเข้าพริกจากต่างประเทศ และเสิร์ฟแป้งตอติญ่ากับมันฝรั่งที่ทำเองสดๆ ร้อนๆ โดยเฉพาะ เมนูห้ามพลาดได้แก่ elotes callejeros (120 บาท) ข้าวโพดฝักเสิร์ฟกับซอส chipotle มายองเนส ชีส และมะนาว หรือจะสั่งทาโก้อร่อยๆ (225 บาท/2 ชิ้น) มาลองก็ได้ ระวังเมนูเครื่องดื่มเตกิล่ากับ mezcal ดีๆ นะ รสชาติดีและแรงได้ที่เลย
Beer Belly
อย่างที่เดาได้จากชื่อร้าน ถ้าไปนั่งบาร์ฝั่งตรงข้าม Rocket X คงจะได้พุงน้อยๆ กลับมา ร้านเบียร์กึ่งโอเพ่นแอร์แห่งนี้เสิร์ฟเบียร์สดจาก 20 แท็ปให้เราได้เลือก มีตั้งแต่ Leo (180 บาท/ไพนต์), Asahi (260บาท/ไพนต์) จนไปถึง La Chouffe (420บาท/ไพนต์) และ L'Olmaia LA5 (480บาท/ไพนต์) นอกจากนี้ยังมีคราฟต์เบียร์ขวด และอาหารประเภทกับแกล้ม มีบริเวณที่นั่งหน้าบาร์รับอากาศด้านนอกแบบชิลๆ เรียกได้เป็นร้านที่ไปได้โดยไม่ต้องคิดมากที่สุดแล้วล่ะ
ส่วนด้านในเป็นสเปซขนาดใหญ่ สามารถนั่งดูบอล เล่นปิงปอง หรือเล่นพูลกับแก๊งค์เพื่อนได้ เหมาะพากลุ่มใหญ่ไปนั่งสังสรรค์กันเพราะบรรยากาศสบายสุดๆ ตอนนี้มี Happy Hour 1 แถม 1 ทุกวันระหว่าง 17:00-19:00น. และอาหารลด 50% ทุกเมนูด้วยนะ
ร้านอาหารจากสาทรได้ขยับขยายมาเป็นส่วนหนึ่งของ 72 Courtyard โดยได้เชฟ Jess Barnes จาก
Opposite Mess Hall มาดูแลเมนูในครั้งนี้ การออกแบบของร้านยังคงเหมือนสาขาแรกในบางส่วน แต่คราวนี้มีที่นั่งด้านนอก และครัวแบบเปิดที่เราสามารถนั่งดูเชฟแสดงฝีมือได้
นอกเหนือจากเมนูบาร์บิคิวที่โด่งดัง (เนื้อโทมาฮอว์ค, 2,500 บาท) ทางร้านยังเพิ่มเติมเมนู starter และสลัดให้ทุกอย่างลงตัวมากขึ้น เราแนะนำให้ลอง smoked burrata (590 บาท) salt-baked fish (900-1,900 บาท) และเมนูหอย diamond clams (500 บาท) เสิร์ฟกับซุปกุ้งรสเผ็ด เนยฝรั่งเศส และสาหร่ายทอด ของหวานได้แก่ พานา ค็อตต้า รสวานิลลา (225 บาท) ช็อกโกแลตบานาน่าสปลิท (250 บาท) และซอร์เบท์รสยูสุมะนาว (50 บาท) ไวน์เริ่มต้นที่ 325 บาท/แก้ว เบียร์และไซเดอร์เริ่มต้นที่ 195 บาท เหมาะสำหรับใครที่อยากทานอาหารจริงจังก่อนจะเริ่มต้นย้ายไปปาร์ตี้ต่อ
UNCLE
ส่วนบาร์คุณลุงจากสาทร 12 ก็ได้ย้ายมาอยู่ด้านบนของ Lady Brett สาขานี้เช่นกัน โดยได้พื้นที่กว้างขวางกว่าเดิม ประกอบไปด้วยบาร์หินอ่อนสีเข้มขนาดใหญ่ และโซฟาหนัง มีระเบียงออกมาให้นั่งเล่นด้านนอกด้วย หรือจะย้ายกลับไปนั่งบริเวณบาร์เพื่อชมมิกโซโลจิสต์แสดงฝีมือก็ยังได้
เครื่องดื่มของที่นี่ได้ Philip Steanescu มาออกแบบเมนู โดยมีราคาที่เป็นมิตรกว่าอีกหลายร้านสำหรับคลาสสิคค็อกเทล เราอยากให้ลอง The Big Red (195 บาท) ที่มีการผสมจิน Iron Balls กับแตงโมสด, campari, มะนาว และโฮมเมดซินนามอนไซรัป หรือจะเป็น Wild Southeast (195 บาท) เครื่องดื่มเบสเบอร์เบินก็สดชื่นไปอีกแบบ
Toro
เดิมทีเป็นร้านอาหารที่ได้ชื่อมาจากบอสตันและนิวยอร์ค โดยเสิร์ฟทาปาสดั้งเดิมและร่วมสมัยที่ได้แรงบันดาลมาจากเมือง Barcelona บรรยากาศดูชิคและมีสีสัน
สาขากรุงเทพฯ นั้นได้เชฟ Zach Watkins มาอยู่เบื้องหลังความอร่อย โดยมีการดัดแปลงให้ถูกปากบ้านเราโดยเฉพาะ อาทิ เมนูฟัวกราส์ (490 บาท) เสิร์ฟกับซอสใบกระเจี๊ยบ เห็ดชิเมจิ และมังคุด เมนูอื่นๆ ที่น่าลองได้แก่ ensalada de sandia (สลัดแตงโมกับแอนโชวี่ ส้มโอ และ ชีส cotija, 220 บาท) และ setas y huevo (เมนูเห็ดสไตล์ San Sebastian เสิร์ฟกับสมุนไพรและไข่, 250 บาท) อย่าพลาดเมนูชูโรส์ (220 บาท) กรอบนอกนุ่มใน และแซงเกรียแตงโม (310 บาท) รสชาติสดชื่น หรือจะสั่งไวน์สเปนมาดื่มให้ได้บรรยากาศสเปนแท้ๆ ก็ได้นะ
Beam
หลังจากที่ไปปาร์ตี้ที่เดิมๆ กันมาซะนาน ตอนนี้ทองหล่อได้คลับแห่งใหม่ที่คุ้มค่าแก่การไปแดนซ์แล้วนะ (เก็บไว้เป็นตัวเลือกแทน Bad Motel และ Mellow ยังไงล่ะ) ภายในตกแต่งแนวมินิมอลสไตล์โกดัง แต่มีระบบแสงสีเสียงสุดโปร ด้านล่างเป็นห้อง Dalmatian Room เปิดบีทที่เราคุ้นเคยแนวฮิพฮอพและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Flume, Disclosure ไปจนถึง Chris Brown และ Bieber ส่วนชั้นบนจะเป็นเพลงแนว deep house และ techno
แต่ไฮไลท์เด็ดคือ “body kinetic” แดนซ์ฟลอร์ที่ทำให้พื้นสั่นสะเทือน เบสหนักสะใจแน่นอน!