Skip to main content
AdSense

More Than Blue หนังไต้หวันที่พิสูจน์กับเราว่า เรื่องเรียกน้ำตาก็ทำได้ไม่แพ้เกาหลี

น้ำท่วมโลกเพราะน้ำตาฉันเอง

More Than Blue หนังไต้หวันที่พิสูจน์กับเราว่า เรื่องเรียกน้ำตาก็ทำได้ไม่แพ้เกาหลี
April 23, 2019 Bangkok time
เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ที่ตัวละครในเรื่องพูดบ่อย ๆ ว่า “หากเราสามารถอธิบายความรักได้ โลกนี้คงไม่มีใครต้องเจ็บปวดกับความรัก” ก็ทำให้เราตัดสินใจจะตีตั๋วเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่อง More Than Blue (比悲傷更悲傷的故事) หรือชื่อไทยว่า “ถึงวันนั้นฉันจะบอกรักเธอ”  ที่เพิ่งเข้าโรงบ้านเราไปหมาด ๆ แล้ว และต้องบอกว่าหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ก็คือมองอะไรไม่เห็นเลย เพราะม่านน้ำตาบังตั้งแต่ครึ่งเรื่องยันจบเครดิตของภาพยนตร์! และเราก็มั่นใจมาก ๆ ว่าใครที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วไม่ร้องไห้ ก็คือใจแข็งมาก จนอยากจะควักหัวใจออกมาดูว่านั่นก้อนเนื้อหรือหิน ทำไมไร้ความรู้สึกขนาดนั้น ฮือออ
 
YouTube video
 
 
หลังจากที่คุมสติ (และหยุดร้องไห้) ได้ ก็เพิ่งมาค้นพบทีหลังว่า นี่คือ 4 เหตุผลที่ทำให้เราอินกับความรักของตัวละครหลักทั้งคู่ จนถลำลึกเข้าไปถึงเรื่องราวราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาทั้งสองเสียเอง ลองดูทั้ง 4 เหตุผลนี้ก่อนแล้วค่อยตีตั๋วเข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเองก็ได้ แต่ต้องรีบหน่อยนะ เพราะรอบฉายน้อยเหลือเกินแล้วตอนนี้
 

เรื่องความเหงาและโดดเดี่ยวมันไม่เข้าใครออกใคร

 
 
ก่อนอื่นขออธิบายให้กับใครที่กำลังสงสัยว่าเอ๊ะ ทำไมชื่อหนังมันคุ้น ๆ เหมือนกับหนังเกาหลีที่ฉายเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยแฮะ จุดนี้ต้องบอกเลยว่าไม่ต้องแปลกใจ เพราะ More Than Blue เวอร์ชันไต้หวันนั้นรีเมกมาจากเวอร์ชันเกาหลีนั่นเอง แถมยังใช้ชื่อภาษาอังกฤษเหมือนกันด้วย หากใครดคยดูและยังจดจำได้ เวอร์ชันเกาหลีนั้นแสดงโดยควอน ซัง วู, ลี โบ ยอง และ ลี บอม ซู ซึ่งเรียกน้ำตาคนเกาหลีได้แบบท่วมโรงจนเก็บรายได้ไปกว่า 4,700 ล้านวอนเลยเชียวนะ พอมารอบนี้จึงมั่นใจเหมือนกันว่ามันจะต้องเรียกน้ำตาไม่ต่างกับเวอร์ชันเกาหลีแน่นอน
 
 
ส่วน More Than Blue เวอร์ชันไต้หวันนี้ สิ่งหนึ่งที่เราทัชได้สุดอะไรสุดคือเรื่องปมของตัวละครทั้งพระเอกและนางเอก ที่ช่วยยืนยันกับเราว่า เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องเคยประสบหรือมีความทรงจำร่วมก็อินกับมันได้ง่าย ๆ อย่างเรื่องความเงหาและความโดดเดี่ยวของทั้งคู่ ที่ตัวพระเอกเองต้องเสียพ่อไปตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่นด้วยโรคร้าย เมื่อคนเป็นแม่รู้อย่างนั้นจึงไม่อาจทนได้ และทิ้งเขาไปอีกคน ทำให้เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด ส่วนนางเอกเองก็ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุทางถนนตั้งแต่เธอยังเด็กเช่นกัน และในเมื่อความโดดเดี่ยวมันเป็นเรื่องสากล แถมเรายังรู้สึกได้เยอะเลยว่าเขาทั้งสองคนต้องเหงากับการอยู่ตัวคนเดียวมานานขนาดไหน กว่าทั้งคู่จะเติมเต็มให้แก่กันได้ และเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนมาช่วยดูแลระหว่างกัน เราก็ยิ่งให้กำลังใจว่าชีวิตของเขาทั้งสองคนจะต้องดีกว่าที่เป็นนับจากนี้ไปอีกด้วย

เมื่อรักจนเสียสละได้ทุกอย่าง เมื่อนั้นก็คือความสุขที่แสนเจ็บปวด

 
 
หากว่าเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นสากลแล้ว เรื่องความรักก็น่าจะดูเหมือนเป็นสากลมากกว่าอีก More Than Blue ก็ยิ่งช่วยย้ำกับเราได้อีกเช่นกัน เพราะเรื่องราวหลัก ๆ ของเรื่องนั้นกล่าวถึง เค (แจสเปอร์ หลิว) และ ครีม (ไอวี่ เฉิน) ก็ได้อยู่ร่วมกันมาตลอด พวกเขาเป็นที่พึ่งทางใจ คอยเติมเต็มส่วนที่หายไปให้แก่กันและกัน แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มากไปกว่าคำว่าเพื่อน เค ทำงานในค่ายเพลง ส่วน ครีม ก็ทำงานเป็นนักแต่งเพลง แต่ในวันหนึ่ง เค กลับพบว่าร่างกายของเขากำลังป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา เขาเลือกที่จะปกปิดอาการป่วยเอาไว้เพราะเขาไม่อยากเห็นเธอเศร้า แถมยังพยายามทำให้เธอได้พบกับผู้ชายที่ดีและเพียบพร้อม คนที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้มากกว่าเขาอีกด้วย...เนี่ย แค่เรื่องย่อก็เศร้าแล้ว ยิ่งเจอประโยคหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำเอาเราจุกเหมือนกันเมื่อเราในฐานะผู้ชมรู้อยู่แล้วว่า เค กำลังป่วย แต่ ครีม ไม่ได้รู้แบบเรา 
 
"มีอะไรจะบอกไหม"
"อืม ไม่มีนะ"
"ไม่มีหน่อยเลยเหรอ?"
"ถ้าอย่างนั้น ก็ขอให้เธอมีความสุข และได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ"
"งั้นฉันก็แต่งงานกับเธอได้ เพราะเธอก็เป็นผู้ชายที่ดี"
"ฉันไม่ใช่คนดีหรอก"
"แล้วผู้ชายที่ดีของนายเป็นแบบไหน"
"ก็คงมีเงินใช้ มีบ้าน มีรถ มีจิตใจ นิสัยดี มีหน้าที่การงานดี...มีสุขภาพแข็งแรง"
 
เนี่ย เจอประโยคสุดท้ายเข้าไป ก็จุกแล้วจ้า

เมื่อการกระทำสำคัญกว่าคำพูด

 
 
สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามันคือความโลกสวยเหลือเกินในเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็กลับรู้สึกย้อนแย้งว่า หากชีวิตหนึ่งของเราได้เจอกับคนอย่าง เค หรือ ครีม บ้าง ก็น่าจะดี นั่นคือการลงมือทำแบบปิดทองหลังพระโดยไม่หวังผลตอบแทน หวังเพียงให้คนที่ได้รับมีความสุขเท่านั้นเป็นพอ แน่นอนว่าในเมื่อความเป็นจริงคนแบบนี้หายากเต็มที เราเลยยิ่งซาบซึ้งกับการกระทำของ เค มากขึ้นเข้าไปอีก เมื่อเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ ครีม ได้มีอนาคตต่อไปอย่างมีความสุข ไม่ต้องเจ็บปวดไปกับสิ่งที่เขาเป็น และเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งทั้งใจและทางกายเอาไว้ลึก ๆ อยู่คนเดียว จวบจนถึงวันที่ เค ต้องจูงมือ ครีม ไปสู่ผู้ชายคนอื่นที่ ครีม รัก เขาก็พร้อมที่จะทำให้ ก็เป็นเสียอย่างนี้ไงล่ะ แล้วจะไม่ให้น้ำตาไหลพรากได้ยังไงกันนน

เมื่อองค์ประกอบทั้งหมดของหนังมันเอื้อต่อกัน

 
YouTube video
 
สิ่งสุดท้ายก็คือต้องร้องแม่จ๋าเลย เพราะนี่คือภาพยนตร์ที่ทุกองค์ประกอบมันเอื้อและส่งถึงกันมาก ๆ ไม่ใช่เพียงแค่บทภาพยนตร์ที่ดี ไดอะล็อกที่แทบอยากจะจดออกมารวมเล่มเป็นคำคมเรียกน้ำตาแล้วตีพิมพ์วางจำหน่ายเสียเลย นักแสดงที่มีเสน่ห์สุด ๆ แต่ยังประกอบไปด้วยสกอร์ที่ขนออเครสตร้ามาเร้าอารมณ์และบีบหัวใจเอามาก ๆ พาร์ตดรามามาทีไร ดนตรีประกอยขึ้นปุ๊บทำเอาใจสั่นปั๊บ นอกจากนั้นอีกอย้างหนึ่งคือเรามั่นใจได้เลยว่าเพลงประกอบภาพยนตร์จะต้องเพราะแน่ ๆ เพราะในเมื่อเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นวนเวียนอยู่กับการทำเพลง ค่ายเพลง และการแต่งเพลง แถมยังมีศิลปินชื่อดังอย่าง A-Lin มารับเชิญในภาพยนตร์ด้วย เธอจึงฝากเสียงเพราะ ๆ ให้กับเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง A Kind of Sorrow เสียเลย ขอบอกว่าเพลงเพราะมากจริง ๆ และเนื้อหาของเพลงก็กินใจมาก เมื่อทุกอย่างหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะว่านี่คือภาพยนตร์ที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยล่ะ
 
More Than Blue ถึงวันนั้นฉันจะบอกรักเธอ ภาพยนตร์ในโครงการ หนังผมไม่เล็กนะครับ ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ 
 
AdSense
AdSense
AdSense