หากเป็นแฟน Soimilk กันมาตลอด จะพอเห็นได้ว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นกรุงเทพฯ บ้านเรามีร้านเนื้อต่าง ๆ เกิดขึ้นใหม่เยอะมาก ทั้งเนื้อสเต๊ก เบอร์เกอร์ ไปจนถึงกระทะร้อน จนเราเองก็แทบอัปเดตร้านกันไม่หวาดไม่ไหว แล้วสักพักหนึ่งร้านเนื้อใหม่ ๆ ก็เริ่มซาลง จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า ความเป็นเนื้อจะโตยากในบ้านเราหรือเปล่า แต่มาช่วงปลายปีนี้ก็มีร้านเนื้อแห่งใหม่ย่านเจริญกรุงมาเปิดให้เราได้ลองไปแวะเวียนอีกร้าน และดูเหมือนว่าจะมีเป็นร้านเนื้อที่น่าสนใจเสียด้วยสิ


Mahasan Local Meat Burnt & Bowl ร้านเนื้อไซซ์กะทัดรัดที่เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงเดือน ตั้งอยู่ตีนสะพานตรงข้ามซ.เจริญกรุง 66 แห่งนี้คือร้านที่เราว่า หากใครเป็นคนเนื้อคงพอคุ้น ๆ อยู่บ้างว่าอาคารหลังเก่าคูหานี้เคยเป็นร้าน Smoke House ที่ชื่อ February & Sons มาก่อนเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในหุ้นส่วนร้านเดิมอย่างคุณแบงค์-ณัฐพงศ์ ราชเล็ก นี่แหละคือเจ้าของร้าน Mahasan แห่งนี้ คุณแบงค์เล่าให้เราฟังว่าสาเหตุที่ต้องปิดร้านสโมคเฮาส์ไปเพราะกรรมวิธีรมควันนั้นค่อนข้างรบกวนเพื่อนบ้าน ด้วยความร้อน การระบายควัน ที่ไม่ค่อยสะดวกกับลักษณะของบ้านที่เป็นตึกแถวโบราณแห่งนี้เท่าไหร่นัก หลังจากที่ปิดร้าน February & Sons ไป คุณแบงค์ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเนื้อแบบไม่ห่าง และมีลูกค้าที่รู้จักกันถามถึงเมนูเนื้ออร่อย ๆ อยู่เรื่อย ๆ เขาจึงใช้พื้นที่แห่งนี้เปิดเป็น Private Table อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะจับมือกับคุณโบ-ลลิตา แก้วคำแสน แฟนสาวของเขาร่วมกันเปิดร้าน Mahasan นี้นี่เอง

ชื่อ Mahasan เขียนเป็นไทยได้ว่า มหาสาร มาจากสารอาหารและความอร่อยที่ทางร้านตั้งใจมอบให้ แถมยังมาพร้อมกับอาหารจานโต ๆ ที่เหมาะแล้วกับการพ้องเสียงกับคำว่า มหาศาล แม้ขนาดร้านจะไม่ใหญ่โต มีโต๊ะรับแขกเพียง 4-5 โต๊ะ แต่ด้วยการตกแต่งร้านที่พยายามให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน หรือมาบ้านเพื่อน ด้วยการเลือกใช้วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ง่าย ๆ ไปจนถึงการตกแต่งภาพภายในร้านที่ได้คุณโบเลือกมาให้ ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้น แม้ครัวใหญ่จะอยู่ด้านหลัง แต่บริเวณหลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ คุณแบงค์ก็ยกเตากริลล์ขนาดเล็กที่สั่งทำขึ้นพิเศษจากญี่ปุ่นมาย่างเนื้อให้เราได้เห็นกันข้างหน้าเลยด้วย แน่นอนว่าพอเตาเล็กลง (แต่ประสิทธิภาพยังเต็มเปี่ยม) ปัญหาที่เคยเจอเมื่อครั้งเปิดสโมคเฮาส์ก็หายไปด้วย


ความตั้งใจอีกสิ่งหนึ่งของที่นี่คือการเลือกใช้เนื้อโลคัลจากฟาร์มในประเทศมาเสิร์ฟเราทั้งหมด คุณแบงค์บอกกับเราว่านี่คือความตั้งใจหลักของเขาเลยที่อยากให้เราได้ลองชิมเนื้อไทย เพราะที่จริงแล้วเนื้อไทยก็อร่อยไม่แพ้เนื้อชาติไหน ๆ แถมยังได้ราคาที่ดีกว่า ทำให้ทางร้านสามารถขายอาหารในราคาที่หลายคนจับต้องได้ "หากมีเนื้อคุณภาพดีมาเสิร์ฟในราคาที่ถูกลง ลูกค้าก็จะมีโอกาสใกล้ชิดเนื้อได้มากขึ้น" คุณแบงค์บอกกับเราทิ้งท้าย ก่อนที่จะบอกอีกว่าเนื้อทั้งหมดในร้านรับมาจากสหกรณ์จากภาคอีสาน โดยตรงด้วย


เราแยกไฮไลต์ของ Mahasan ออกได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือร้านนี้มีเนื้อเด็ด ๆ ให้เราได้ลองชิมหลายส่วน แต่ส่วนที่ไม่ควรพลาดคือทีโบนที่เรารู้จักกันดี และพิคานา (Picanha) ที่หลายคนอาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่ พิคานาเป็นเนื้อส่วนที่ติดกับเซอร์ลอยด์ มีขนาดไม่ใหญ่มาก เนื้อส่วนนี้จะมีความฉ่ำมาก ในขณะเดียวกันก็มีเนื้อเยอะกว่ามัน เล่นเอาเราอยากรู้เลยว่า ส่วนที่เป็นเนื้อแดงเยอะ ๆ แบบนี้จะฉ่ำมากได้อย่างนั้นจริง ๆ เหรอ ส่วนไฮไลต์ที่สองก็ตามชื่อร้าน Mahasan Burnt & Bowl เลย นั่นคือทางร้านมีให้เลือกทั้งเมนูสเต๊ก และเมนูข้าวหน้าเนื้อหลากหลายแบบสำหรับคนรักข้าวด้วย จุดนี้คือถูกใจเรามาก
เมนูง่าย ๆ อย่างสเต๊กทีโบน (580 บาท) ที่ขนาดเกินราคาไปมาก ทางร้านเลือกใช้เนื้อส่วนทีโบนไซซ์ 500 กรัม มากริลล์บนเตาที่สั่งทำพิเศษ สโมคด้วยถ่านจากบ้านเราที่ทำมาจากไม้หลากชนิดเพื่อให้ได้กลิ่นหอมเฉพาะ สเต๊กมาแบบมีเดียมสีกำลังสวย (เลือกระดับความสุกได้ตามชอบ) แล่ออกเป็นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟคู่กับผักสลัด และซอสแจ่วทำเอง เนื้อทีโบนไทยนุ่ม ขณะเดียวกันก็ยังมีมวลให้เคี้ยวสู้ฟัน ใครชอบแซ่บ ๆ ก็จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วเค็ม ๆ เผ็ด ๆ ขอบอกว่ากินคนเดียวจานนี้คืออิ่มพุงกาง แบ่งกินกันสองคนยังได้เลย เพราะทีโบนที่เสิร์ฟมานั้นชิ้นโตจริง ๆ คุ้มราคามากเกินไปแล้ววว

อีกจานที่ทำเอาเราน้ำตาไหลพราก ๆ หลังที่ได้จิ้มเข้าปากคือลิ้นวัวย่าง (270 บาท) คุณแบงค์นำลิ้นวัวไป Sous Vide นานถึง 24 ชั่วโมง ก่อนจะนำมาย่างบนเตาจนลิ้นเป็นสีชมพูสวย และกล้าหั่นเสิร์ฟเราแบบชิ้นโต ๆ หนา ๆ เรียกว่าท้าทายอำนาจความเหนียวของลิ้นวัวมาก แต่ปรากฎว่าลิ้นวัวที่นี่นุ่มมาก ไม่มีชิ้นไหนที่เหนียวเลย แถมยังหวาน จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทางร้านเพิ่มความแซ่บก็ได้ หรือจะจิ้มกับซอสไข่ดิบ (มีมาให้ในเมนู หากต้องการสั่งเพิ่มราคา 25 บาท) ก็มัน ๆ เด็ดดวงไปอีก จานนี้เอาไป 10 10 10 ใครมาถึงร้านแล้วไม่สั่งจะเสียใจมาก มาก มากกกก พูดเลยตรงนี้ !

มาลองเมนูข้าวกันบ้าง เราลองสั่งข้าวหน้าเนื้อพิคาน่า (295 บาท) ข้าวไทยโปะด้วยเนื้อพิคาน่าที่สเต๊กมาแบบมีเดียม โรยด้วยหอมเจียวกรอบ ๆ และซอสไข่ดิบ พอเราเห็นครั้งแรกก็ต้องยอมใจเลยว่าพิคาน่านี่ชุ่มฉ่ำจริง ๆ เนื้อด้านในที่ยัง Juicy อยู่อย่างเห็นได้ชัด พอได้ชิมก็พบว่านี่จะเป้นเนื้ออีกส่วนที่เราต้องจดเอาไว้ว่าอร่อยจริง เพราะไม่แห้งเลย ฉ่ำแบบน้ำหวาน ๆ กระจายทั่วปาก ยิ่งตีซอสไข่ดิบละเลงให้ทั่วชิ้นเนื้อเพิ่มความมัน แล้วจิ้มเนื้อกับซอสน้ำปลาที่ทางร้านคิดค้นขึ้นมา ซอสน้ำปลาหวาน ๆ เค็ม ๆ รสกลมกล่อมช่วยดึงรสเนื้อออกมาให้ชัดได้ขึ้นอีก เรียกว่าซอสอาจหมดก่อนเนื้อในชามจนต้องขอซอสน้ำปลาเพิ่มเลย เห็นว่ามีหลายคนติดใจซอสจนขอแบ่งกลับบ้านก็มีนะ (แต่ระวังโซเดียมนิดนึงก็ดี เราเป็นห่วง)

นอกจากนี้ยังมีเมนูเอาใจสายตุ๋นอย่างเนื้อน่องลายอบ (220 บาท) ที่คุณแบงค์เองก็เป็นคนชอบกินเนื้อน่องลายตุ๋นอยู่แล้ว เลยทำเมนูนี้ขึ้นมาสนองนี้ดตัวเองด้วยเลย เนื้อน่องลายที่มีเอ็นแทรกพอกรุบชิ้นหนา ตุ๋นพะโล้กว่า 3 ชั่วโมง จิ้มกับน้ำส้มพริกกะเหรี่ยงแซ่บ ๆ ขอบอกว่าจานนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน สั่งข้าวเปล่ามาสักถ้วยกินคู่กันได้เลย

นอกจากนี้ยังมีเมนูสลัดผลไม้ (155 บาท) ที่เลือกผลไม้ตามฤดูกาลในบ้านเราหลากหลายชนิดมาใส่รวมกับผักสลัดและมะเขือเทศ ราดด้วยบัลซามิก เพิ่มความสดชื่นให้กับจานเนื้อของเราได้ดีขึ้นทีเดียว



ส่วนใครที่ไม่กินเนื้อ แต่ต้องตามก๊วนมาที่ร้านนี้เพราะเพื่อนคนอื่นเขากินกัน ทางร้านก็มีเมนูหมูเสิร์ฟเช่นเดียวกัน ทั้งสเต๊ปพอร์คชอป (360 บาท) ชิ้นหนาไซซ์ 250 กรัม เสิร์ฟพร้อมผักสลัด หอมเจียว แฮชบราวน์ และเกรวี่ซอส หรือจะเป็นสเต๊กสันคอหมู (280 บาท) ข้าวหน้าสันคอหมู (240 บาท) หรือซี่โครงหมูทอดน้ำปลา (180 บาท) ก็มีให้เลือกเช่นกัน


ปิดท้ายที่เครื่องดื่มอย่างน้ำเสาวรสและน้ำลิ้นจี่โครงการหลวง (45 บาท) ที่ทางคุณแบงค์ตั้งใจเลือกเป็นน้ำผลไม้ 2 ตัวนี้มาเพราะมีรสเปรี้ยวนำ ดื่มแล้วเข้ากับการทานเนื้อได้เป็นอย่างดี กับอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ของการกินเนื้อคู่กับเหล้าบ๊วย (220 บาท) ที่ทางร้านดองเองเสียด้วย ใช้บ๊วยจากโครงการหลวงผสมน้ำผึ้งป่า เสิร์ฟออนเดอะร็อคขนาด 150 ซีซี หรืออยากให้ผสมโซดาก็ทำได้ บอกเลยว่าเนื้อไม่จำเป็นต้องกินคู่กับเบียร์หรือไวน์อีกแล้ว เจอเหล้าบ๊วยเข้าไปพูดเลยว่าฟินสุดอะไรสุด

Soimilk says: เราเชื่อแล้วว่าความตั้งใจของทางร้านที่อยากให้คนไทยได้กินเนื้อดี ๆ ในราคาที่เอื้อมถึง แถมยังมาแบบเต็มคำ ไม่ใช่ราคาไม่แพงแต่ในจานมีอยู่นิดเดียวคือพูดจริง ไม่ได้ทำเล่น ๆ ทุกจานที่นี่ไซซ์เล็กสุดคือ 250 กรัม เรียกว่ามาแล้วต้องมีอิ่มกลับไปไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง นอกจากนี้เรายังชอบที่ทางร้านเลือกใช้เนื้อโลคัล เพื่อช่วยสหกรณ์ของไทยให้เดินหน้าไปต่อได้ และฝีมือของเจ้าของร้านอย่างคุณแบงค์เองก็ไม่ใช่เล่นจริง ๆ รู้จักเนื้อเป็นอย่างดี ไม่แปลกที่แม้ทุกวันนี้จะเปิดร้านแล้ว ก็ยังมีคนขอ Private Table กับเขาอยู่เรื่อย ๆ จนแว่ว ๆ มาว่าในอนาคตอาจแบ่งบางช่วงเวลาของร้านให้เป็น Private Table เหมือนกัน ใครอยากลองก็ลองสอบถามไปทางเพจเฟซบุ๊กทางร้านแล้วกันนะ
เปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 18:00-23:00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 12:00-23:00 น. 1843 ถนนเจริญกรุง ตรงข้ามซ. เจริญกรุง 66 โทร. 0634065566 (12.00-17.00 เท่านั้น) www.fb.com/mahasanmeatyou