ในชีวิตเร่งรีบของคนกรุงเทพ ฯ เราอาจมีร้านกาแฟสปีดบาร์ ที่เน้นเมนูแกร็บ & โกพร้อมดื่มแบบไว ๆ ทำรอบแข่งกับเวลา ให้เรารีบกลับไปทำงานที่รัก–หรือที่ชัง–กันต่อไป แต่ถ้าวันไหนเหนื่อย ๆ แล้วอยากลองหยุดพักใจ ลืมวันเวลาและงานค้างที่ด่วนจี๋ Heiwa Kissa คือโอเอซิสแห่งใหม่ของคนที่โหยหา "เวลา" และบทสนทนาคลายเหงาในแบ็คดรอปร้านกาแฟเรโทรสไตล์ญี่ปุ่น ตอบโจทย์คนที่อยากหย่อนก้น หย่อนความกังวลใจ ดื่มด่ำกับกาแฟถ้วยโปรด แล้วลืมโลกภายนอกไปสักพัก

นี่คือร้านที่ 2 ของคุณ ต้น–ธรรมรัตน์ หลำพรม เจ้าของบาร์กาแฟเล็ก ๆ ในเชียงใหม่ ผู้ตั้งใจแบ่งปันความรู้ในศาสตร์ชงกาแฟญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และอยากนำเสนอบรรยากาศร้านสไตล์คิสสะเต็น (Kissaten) ซึ่งเป็นคาเฟ่สไตล์ย้อนยุค เปิดเพลงแจ๊ซ และเสิร์ฟกาแฟโดยปราศจากการใช้เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย ให้คนที่ผ่านไปมาผ่านมา ได้มีเวลามาหยุดพัก นั่งจิบกาแฟ พร้อมพูดคุยกับ “มาสเตอร์” หรือบาริสต้าผู้ประจำการร้านและเป็นคนช่วยหลีดบทสนทนาในร้าน ไม่ให้แห้งเหมือนก้นถ้วยกาแฟ

ใครก็ตามที่ผลักประตูเข้าไป จะพบกับบาร์ไม้ประมาณ 4 ที่นั่ง บรรยากาศสบาย ๆ และมีคุณ ธัน–อธิวัชร์ วงษ์ขวัญเมือง อดีตลูกค้าประจำร้านคุณต้นที่เชียงใหม่ ผู้ติดใจรสกาแฟของร้านพี่ต้น จนได้เรียนวิชาต้มกาแฟจากคุณต้น จนมาตอนนี้ก็ผันตัวมาเป็น “มาสเตอร์” ประจำร้านยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
“ที่ไม่ใช้แมชชีน ไม่ได้มีไว้ทำเท่เฉย ๆ นะ” คุณธัน รีบอธิบายกฎของการทำกาแฟแบบร้านคิสสะเต็น ระหว่างที่กำลังน็อคน้ำแข็งบนถาดเหล็ก ก่อนจะนำช็อตกาแฟที่เพิ่งชงในโมก้า เทลงมาให้คลายอุณหภูมิลง

“เพราะพอกาแฟเขาเย็นด้วยตัวของเขาเอง ตัวรสชาติบอดี้กับคาแร็กเตอร์เขา ก็จะยังอยู่ครบ คล้าย ๆ กับสมัยนี้ที่เขามีลูกเหล็กแช่เย็น แต่เรายังใช้วิธีแบบเดิมอยู่”
ซึ่งเลเวลความพิถีพิถัน ใส่ใจในรายละเอียดก็ไม่ได้อยู่ที่ขั้นตอนการชงกาแฟเพียงอย่างเดียว เพราะทุก ๆ ครั้งที่เสิร์ฟแก้วกาแฟ คุณธันก็จะการเลือกแก้วพอร์ซเลน ให้เข้ากับไวบ์ของลูกค้า–อย่างคุณแม่บ้านญี่ปุ่นที่นั่งข้าง ๆ เราในวันที่ไป แกใส่ชุดสีฟ้า ก็เลยได้ถ้วยพอร์ซเลนสีฟ้าไปแมชกับชุดด้วย

ตัวเมล็ดกาแฟที่ใช้ของทางร้านตอนนี้ เป็นเมล็ดกาแฟที่ได้จากอินเดีย โดย คุณธัน เล่าให้ฟังว่าเป็นเมล็ดกาแฟ ที่เขานำเอาไปตากในช่วงหน้ามรสุม ตัวคาแรกเตอร์ของเจ้าเมล็ดตัวนี้ เลยจะออกไปทางเข้มลึกสักหน่อย โดยเราลองสั่งเป็นตัวโมก้าพ็อต (150 บาท) เราชอบที่กาแฟของเขา ไม่ติดขม ไม่มีกลิ่นไหม้ และบาลานซ์กำลังดี ค่อนข้างถูกใจคอกาแฟลูกเจี๊ยบแบบเรา ๆ

นอกจากเมนูกาแฟ ทางร้านก็มีเสิร์ฟเป็นอาหารเบา ๆ ไม่หนักหรืออลังการมาก เพราะตึกนี้มีสองชั้นก็จริง แต่ก็มีแต่เคาน์เตอร์บาร์เล็ก ๆ ชั้นล่างที่เปิดเต็มตัว โดยชั้นบนยังเปิดโล่งอยู่ เมนูที่เสิร์ฟเลยจะเป็นของทานง่ายจำพวก Spinach Quiche คีชผักโขม รวมถึงสารพัดไอเท็มของหวานอย่าง Apple Pie (120 บาท) ที่คุณธันบอกว่าเลือกเจาะจงร้านนี้มากับมือ–เราได้ลองตัวนี้ รสชาติเขาเป็นแอปเปิ้ลพายที่เนื้อไม่ได้หนักมาก หรือหวานเกินไป ตัวครัสต์ก็หนากำลังดี

อีกตัวที่เราได้ลองคือ Earl Grey Baumkuchen (บามคูเท็น) เป็นเค้กขอนไม้เยอรมัน แทรกเลเยอร์เป็นชั้น ๆ เหมือนวงปีของขอนไม้ ที่ดันมาบูมในวงการคาเฟ่ญี่ปุ่นชนิดที่หาได้แทบทั่วทุกที่ แม้ใน 7-11–ถึงขั้นที่ว่าคนญี่ปุ่นเขาลิสต์ให้วันที่ 3 มีนาคมของทุกปี ให้เป็นวันขนมบามคูเท็นเลยนะ
[Fun Facts: ซึ่งเขาว่ากันว่า คนแรก ที่นำเอาเจ้าเค้กขอนไม้เยอรมันมาที่นี่คือคุณ Karl Juchheim แกเป็นเชฟทำขนมอบชาวเยอรมัน ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตอนนั้นคุณยูไฮม์ แกกับคุณภรรยาย้ายมาอยู่ที่เมืองชิงเต่า ประเทศจีน ในช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้ามาล้อมเมือง แกกับคุณภรรยา ก็เลยถูกจับมาเป็นเชลยศึก (Prisoner of War) จนมาปี 1919 ที่ทางการญี่ปุ่น มีจัดนิทรรศการ Ninoshima Prisoner of War Product Exhibition ในศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมจังหวัดฮิโรชิม่า ในวันงานมีผู้เข้าร่วมเกือบ 16,000 คน คุณยูไฮม์แกเลยทำเค้กบาคูเฮนเสิร์ฟคนเข้างาน และผลตอบรับก็ดีมาก ๆ จนช่วงสงครามจบลง คุณยูไฮม์กับภรรยา เลยลงหลักปักฐาน เปิดร้านเบกอรีในโยโกฮามะ–จนตอนนี้มีร้านและสาขากว่า 300 สาขาทั่วประเทศ]

วันที่เราไป คุณธันชงกาแฟจากเครื่องเฟรนช์เพรซให้เราทานคู่กับตัวเค้กบามคูเท็นรสชาเอิรล์เกรย์ แต่เมล็ดที่ใช้จะเป็นคนละตัวกับที่เสิร์ฟในเมนูปกติ ทริคในการกินคือตัดเค้กบานคูเท็นเข้าปาก แล้วดื่มกาแฟตาม ตัวเค้กจะค่อย ๆ ละลายในปากแล้วคลายความหวานและกลิ่นหอมของชาออกมาเยอะขึ้น


ด้วยความเป็นคิสสะเต็น จะมาเสิร์ฟแต่กาแฟจ๋า ๆ อย่างเดียวก็ไม่ได้ ใครที่ไม่ถนัดดื่มกาแฟมากนัก เราแนะนำให้ลองสั่งเป็น Latte Float (150 บาท) เมนูแก้วโฟลท ที่ได้ไอศกรีมมาตัดความเข้มแล้วลงตัวมาก ๆ หรือจะลองสั่งเป็น Melon Soda (150 บาท) เมนูคลาสสิกยืนพื้นของร้านคิสสะเต็น เป็นเมล่อนโซดา ครีมมี่เย็นฉ่ำ เหมาะกับอากาศบ้านเราที่มีอยู่สองซีซั่นสุด ๆ

Soimilk Says: การมานั่งร้าน Heiwa Kissa เหมือนเวลาหยุดหมุนจริง ๆ นะ นึกถึงนิยายแปลญี่ปุ่นที่ชื่อ เพียงช่วงเวลากาแฟยังอุ่น ของ คุณ คาวางุจิ โทชิคาซึ เพียงแต่ที่คนที่มาอาจไม่ได้มีโอกาสได้ย้อนเวลากลับไปห้วงเวลาเดิม ๆ แต่เป็นที่ที่ให้คนมาละเมียดละไมกับเวลาที่มีอยู่ ณ ตรงหน้า ประกอบกับสกิลการพูดลื่นไหลปานน้ำเชื่อมของมาสเตอร์ประจำร้าน ต่อให้มานั่งคนเดียว–หรือเป็นอินโทรเวิร์ตแบบชาวเรา–ก็คงได้เพื่อนกลับไปสักคนถึงสองคนแน่นอน
245 ถนนบริพัตร MRT สามยอด เวลาทำการ ทุกวัน 10:00 - 18:00 โทร. 081-405-0483 fb.com/officialheiwakissa