เราทุกคนต่างเคยสูญเสียคนที่เรารักไป ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าถาโถมราวกับคลื่นสึนามิลูกใหญ่ที่กวาดล้างทุกอย่างจนไม่เหลือซาก ทว่าแต่ละคนรับมือกับความสูญเสียไม่เหมือนกัน บางคนอ้าแขนรับ ยอมให้คลื่นพัดพาตัวเองไป แต่บางคนเลือกจะวิ่งหนีและสร้างกำแพงขึ้นมากั้นกลางระหว่างความจริงและสิ่งที่ต้องการให้เป็น

Photo by Thitiporn Kaikaew
มาริสาหรือสาทำงานเป็น “ตัวแทน” ให้กับผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะผู้ที่จากไปอย่างกะทันหัน คนที่ครอบครัวไม่มีโอกาสได้บอกลา บอกรัก หรือกอดแน่นๆ เป็นครั้งสุดท้าย เธอสวมชุดคนของคนตาย เดินอย่างคนตาย พูดอย่างคนตาย ฟังเพลงอย่างคนตาย ทำทุกอย่างเหมือนคนตายราวกับจะชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาใหม่

Photo by Thitiporn Kaikaew

Photo by Thitiporn Kaikaew
ครอบครัวหนึ่งเลือกใช้บริการของสาเพื่อต่ออายุให้ลูกสาวที่ตายไปในอุบัติเหตุ สาทำงานอย่างมืออาชีพเหมือนทุกครั้ง เธอกลายร่างเป็นน้ำผึ้ง เด็กสาวร่าเริงวัย 17 ปีผู้เป็นที่มาของรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อและแม่ แต่เมื่อพี่ชายของน้ำผึ้งกลับมาเจอทั้งสามกำลังเล่นพ่อแม่ลูก กำแพงที่พวกเขาบรรจงสร้างเพื่อกันความโศกเศร้าจึงเริ่มพังทลาย
ในเวลากลางคืน สาเปลี่ยนจากน้ำผึ้งมาเป็นศริน นักเต้นรำผู้เป็นภรรยาของตุลย์ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะคลอนแคลน แต่ตุลย์ก็อยากต่อเวลาให้ศรินได้ทำตามความฝันสูงสุดของเธอ ความฝันที่ไม่มีพื้นที่ให้เขาอยู่ในนั้น

Photo by Thong Lor Art Space
ในตอนแรกเราเทใจให้กับการแสดงของวรัฏฐา ทองอยู่ เธอสับเปลี่ยนไปมาระหว่างสาผู้สงบนิ่ง น้ำผึ้งสุดไฮเปอร์ และศรินผู้เคร่งขรึม เธอทำให้ครอบครัวของน้ำผึ้ง ตุลย์ รวมทั้งเราเองเชื่อว่าเธอคือคนเหล่านั้นจริงๆ แต่แน่นอนว่าฉากที่เราชอบที่สุดก็คือฉากที่เธอเป็นตัวเธอเองเมื่อหลายปีก่อน-เป็นมาริสา สาวน้อยผู้สูญเสียพ่อโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และเปิดเปลือยทุกความรู้สึกที่ยังค้างคาออกมาจนหมด

Photo by Tatisara Changmanee
แต่เราก็แอบหลงรักความจริงใจของกฤต พี่ชายของน้ำผึ้ง ซึ่งรับบทโดยกนต์ธร เตโชฬาร “เศร้าดิแม่” เขาตอบอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายเมื่อผู้เป็นแม่ถามความรู้สึก ในบรรดาตัวละครทั้งหมด คนที่เข้าใจวิธีการรับมือกับความสูญเสียมากที่สุดคงจะเป็นเขา เข้าใจมากกว่าสาที่ตั้งตัวเป็นมือโปรด้านนี้เสียอีก

Photo by Thong Lor Art Space
แต่คนที่เรายอมใจที่สุดคงจะเป็นธัญญรัตน์ ประดิษฐ์แท่นในบทรัตน์ แม่ของน้ำผึ้ง จากคนที่พยายามเก็บงำและปฏิเสธความรู้สึก เมื่อถึงฉากระเบิดเธอก็แสดงได้งดงามและทรงพลังเหลือเกิน ส่วนดนัย พ่อของน้ำผึ้งซึ่งมีชีวิตขึ้นมาด้วยการแสดงของดุลย์ทัศน์ วศินะจินดาแก้ว แม้จะไม่มีฉากระเบิดอารมณ์ แต่ความเงียบของเขาก็ทรงพลังไม่ต่าง ฉากที่เขาก้มเก็บเศษแก้วทีละชิ้นนั้นจับใจเรามาก

สูญเสียครั้งแรกว่ายากแล้ว ครั้งที่สองว่ายากกว่า ตุลย์คือตัวละครสำคัญที่ทำให้สาตระหนักว่าบริการ “ตัวแทน” ไม่ช่วยเหลือใครนอกจากตัวเธอเอง ต้องชื่นชมวสุ วรรลยางกูรในบทตุลย์ที่สื่อความรู้สึกออกมาได้ดีมาก อันที่จริง แค่เขาเดินออกมาด้วยแววตาหม่นเศร้า เราก็รู้แล้วว่านักแสดงคนนี้เจ๋งจริง
รัตน์ตั้งคำถามซ้ำๆ ว่า “คนอย่างพวกเราเรียกว่าอะไร พ่อแม่ที่สูญเสียลูกเรียกว่าอะไร” เหมือนพจนานุกรมและราชบัณฑิตยสถานหลงลืมพวกเขาไป ลืมไปว่าพวกเขาก็เป็นหนึ่งใน ‘พวกเศร้า’ ชวนให้คิดต่อว่าถ้ามีคำเรียกที่ชัดเจนอย่าง พ่อม้าย แม่ม้าย เด็กกำพร้า เราจะรับมือกับความสูญเสียได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า? ในฉากหนึ่งตอนใกล้จบ ดนัยบอกกับภรรยาว่า “นั่งเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” เธอทำตาม ทั้งคู่นั่งเคียงกันบนพื้นเย็นเยียบ ในพจนานุกรมยังคงไม่มีคำบัญญัติขึ้นมาใหม่ แต่ความเศร้าดูจะไม่ขมเกินกลืนอีกต่อไป
Details:
Play: Stick Figures คนก้างปลา
บทละครโดย: Josh Ginsburg กำกับการแสดงโดย ภัทรสุดา อนุมานราชธน
เริ่มแสดง: ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิ.ย.
การแสดงภาษาไทย วันที่ 5M/ 5/ 6/ 9/ 10/ 12M/ 12/ 15/ 16/ 18M/ 19M/ 20/ 23/ 25M/ 26M และ 30 มิ.ย. เวลา 20:00 น.
การแสดงภาษาอังกฤษ วันที่ 4M/ 4/ 8/ 11M/ 11/ 13/ 17/ 18/ 19/ 22/ 24/ 25/ 26/ 27 และ 29 มิ.ย. เวลา 20:00 น.
*M = การแสดงรอบบ่าย 14.00 น.
บัตรนักศึกษา 400 บาท / Early Bird 450 บาท / หน้างาน 550 บาท โทร. 095-924-4555
Thong Lor Art Space 33/2 สุขุมวิท 55 BTS ทองหล่อ
ครั้งหน้าเราจะชวนไปชมการแสดงละครอะไรอีก อย่าลืมติดตามนะ :-)