Skip to main content

รักที่เขาเป็นเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน หมายความว่าอะไร ‘ดิว ไปด้วยกันนะ’ มีคำตอบ

เตือนก่อนนะว่า Spolier Alert!

รักที่เขาเป็นเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน หมายความว่าอะไร ‘ดิว ไปด้วยกันนะ’ มีคำตอบ
November 3, 2019 Bangkok time
คำเตือน: บทความนี้กล่าวถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ บางช่วงบางตอนของภาพยนตร์ที่ไม่มีบอกเล่าในตัวอย่างภาพยนตร์ รวมไปถึงบางส่วนที่ถือเป็นของเรื่องราวในภาพยนตร์ หากยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน แนะนำให้ "กดปิด" บทความนี้ อย่าเพิ่งอ่าน เพื่ออรรถรสในการชมภาพยนตร์อย่างถึงที่สุด เตือนแล้วนะ /เสียงเชฟป้อม
 
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากการกำกับฯ ของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล จะเข้าโรงฉายให้เราได้ดูก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว แต่ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง "ดิว ไปด้วยกันนะ" ก็ได้ฤกษ์เข้าโรงให้เราได้ตีตั๋วเข้าไปชมสักที และเหมือนเป็นเทศกาลของหนังมะเดี่ยวยังไงชอบกล ที่ต้องฉ่ยภาพยนตร์ในช่วงปลายปีที่อากาศกำลังดีแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ และก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพยนตร์แต่ละเรื่องของเขาก็ทำเราตัวเย็นไม่แพ้อากาศข้างนอกเลย
 
YouTube video
 
และถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะเข้าฉายได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็มีแฟน ๆ ภาพยนตร์เข้าไปดูกันมาแล้ว ที่น่าแปลกใจก็คือ เราได้ยินเสียงของความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกเป็นสองฝั่งแบบชัดเจน นั่นคือฝั่งที่ชอบ กับฝั่งที่ไม่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย รู้แบบนี้เราเลยต้องเข้าไปพิสูจน์ในโรงภาพยนตร์ด้วยตัวเองสักหน่อยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน และนี่คือความเห็นของเราหลังจากได้ชม ดิว ไปด้วยกันนะ มาแล้ว
 

ครึ่งแรก VS ครึ่งหลัง

 
 
เสียงที่เราได้ยินค่อนข้างเยอะจากผู้ชมภาพยนตร์มาก่อนก็คือ ครึ่งแรกของภาพยนตร์เป็นไปตามที่หวัง แต่ครึ่งหลังนั้นไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจออะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาว่า ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวในช่วงปี พ.ศ. 2539 ของ ดิว รับบทโดยโอม-ภวัต จิตต์สว่างดี นักเรียนใหม่ชั้นมัธยมในโรงเรียนแห่งหนึ่งของอำเภอปางน้อย อำเภอสมมติทางภาคเหนือ ที่ได้มาเจอกับภพ รับบทโดยนนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ ทั้งคู่ผ่านความเป็นคนแปลกหน้ามาสนิทกันอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตจนเกินกว่าที่สังคมในยุคสมัยนั้นจะยอมรับ ทั้งคู่จึงต้องคอยปกปิดมันไว้ และเฝ้ารอวันที่พวกเขาจะเลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเองได้ แต่สุดท้าย เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น และทำให้ทั้งสองคนแยกเส้นทางชีวิตของทั้งคู่ออกจากกัน
 

23 ปีต่อมา ภพเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รับบทโดย เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ และได้แต่งงานกับอร รับบทโดย ดา-ญารินดา บุนนาค เขากลับมาที่ปางน้อยอีกครั้งในฐานะครูที่โรงเรียนเก่าสมัยมัธยม ที่นั่นเขาได้เจอกับหลิว รับบทโดยปั๋น-ดริสา กาญพจน์ นักเรียนหญิงม.ปลายคนหนึ่ง ที่มีอะไรบางอย่างทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่กลายปมผิดพลาดในใจ และยิ่งเขาอยากกลับไปแก้ไขสิ่งนั้นอีกครั้ง 
 
แค่อ่านเรื่องย่อก็พอจับใจความของช่วงครึ่งแรกที่เป็นวัยเด็กได้ว่าเรื่องราวจะมาในทิศทางไหน และหนังก็ทำได้อย่างที่คิดเอาไว้ แต่พอเรื่องดำเนินมาถึงช่วงตอนโต หนังกลับพาเราไปสู่เนื้อหาที่ไกลกว่านั้น ด้วยการหยิบเอาเรื่องราวของการกลับชาติมาเกิด เรื่องความทรงจำ เรื่องของการไม่มูฟออนเสียที มาผูกเข้าไว้ด้วยกัน เรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้เป็นการก้าวเข้าสู่เรื่องราวที่ผู้ชมหลายคนไม่เปิดรับ หรือที่เรียกว่า "ไม่อิน" ด้วย ทำให้ผู้ชมกว่าครึ่งที่ไม่ได้เตรียมตัวมาพบกับความหลากหลายและแฟนตาซีของโลกภาพยนตร์นั้นไม่ชอบภาพยนตร์ไปโดยปริยาย 

รักที่เขาเป็นเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน

 
 
ถึงอย่างนั้น หากเราลองตัด Execution ต่าง ๆ ของภาพยนตร์ออกไป ให้เหลือแต่เพียงเรื่องราวความรักของคนสองคน ระหว่างภพกับดิวแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือข้อคิดถึงของภาพยนตร์ที่ต้องการสื่อสารกับผู้ชมในเรื่องของความรัก ว่าในยุคนี้สมัยนี้ ความรักมันไม่ใช่การดำรงอยู่บนเรื่องเพศ เรื่องฐานะ เรื่องความแตกต่างใด ๆ อีกต่อไป แต่ความรักคือความรัก รักที่เขา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบไหนก็ตาม นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการแสดงถึง อย่างที่เราเห็นว่าในภาพยนตร์นั้น ทั้งดิวและภพก็รักกัน แต่ด้วยยุคสมัย 90s ที่เรื่องการรักเพศเดียวกันไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์นัก และความหลากหลายในเรื่องนี้ก็ไม่มี ความรักของเด็กผู้ชายสองคนจึงเป็นสิ่งต้องห้าม ดังแสดงออกผ่านการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ และสังคมก็ยกให้พวกชายรักชายเป็นจำเลย การจับเอาเด็กตุ้งติ้งในโรงเรียนไปบำบัดในค่ายทหารเพื่อให้หารจากอาการ หรือการที่ถูกเพื่อนจับได้ว่าดิวและภพเป็นอะไรกัน จนทำให้ภพรับตัวเองไม่ได้ที่ต้องอยู่ในสภาพนั้น
 
 
แต่สุดท้ายภพก็พ่ายแพ้ให้กับความรัก และรักดิวที่เป็นดิว ทำทุกอย่างเพื่อดิว แม้ว่าสุดท้ายเขาจะต้องเกิดปัญหากับทางบ้าน นำไปสู่การแยกทางระหว่างภพและดิว และไม่ได้เจอกันอีกเลยจนโตเป็นผู้ใหญ่ ทราบความจริงว่าดิวตายไป และมารู้ทีหลังว่าลูกศิษย์หญิงของตัวเองในปัจจุบัน คือดิวที่กลับมาเกิดอีกครั้ง แต่ภพก็ยังรัก ยังมองเห็นว่าหลิว คือดิวของเขาเสมอ นี่แหละคือความหมายของความหลากหลายของความรักที่ต้องการจะสื่อ ไม่ว่าดิวจะอยู่ในรูปแบบไหน หากนั่นคือดิว คือคนที่เรารัก ก็พร้อมจะมอบหัวใจให้เขาทั้งหมดเช่นกัน

ให้บรรยากาศเล่าเรื่องราว

 
 
ความเห็นส่วนตัวเราคิดว่าไม่ใช่แค่เรื่องราวของคนสองคนของภาพยนตร์ในครึ่งแรกเท่านั้นหรอก ที่ทำให้ผู้ชมชอบ แต่น่าจะเป็นเพราะการวางบรรยากาศผ่านยุค 90s ด้วย และมั่นใจมากว่าคนที่ใช้ชีวิตในยุคนี้มา (เหมือนกับเรา) จะอินได้ง่าย ๆ เพราะเราจะได้เห็นสิ่งรอบตัวละครทั้งหมดที่มาจากยุคนั้น ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วยวอล์กแมนสีเหลืองเครื่องหนา และเพลง ดีเกินไป ของสไมล์บัฟฟาโล่ ที่ถือว่าเป็นเพลงดังของยุคนั้นเลย หรือการไปร้องคาราโอเกะเพลงรบกวนมารักกัน ของทาทา ยัง ตู้สติ๊กเกอร์ ตู้โทรศัพท์ ฝากข้อความทางเพจเจอร์ เสื้อเชิ้ตลายสก็อตทับเสื้อยืดสีเจ็บ ๆ เทปเพลง สมุดภาพสามมิติ ไปจนถึงเครื่องแบบนักเรียนที่บอกเลยว่ายุคนั้นต้องใส่ชุดโอเวอร์ไซซ์ เสื้อนักเรียนไหล่ตก กางเกงยาวถึงเข่า นี่แหละใช่เลย 
 
 
 
อีกส่วนที่เราชอบมาก ๆ คือ การถ่ายถอดบรรยากาศของภาคเหนือของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่จริงต้องขอยกให้เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของผู้กำกับฯ เลยว่าเป็นคนที่สามารถนำเสนอภาพของภาคเหนือได้ถึงมาก ในแบบที่ผู้ชมที่ไม่ได้เป็นคนเหนือ ยังรู้สึกอินเลย ตั้งแต่เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ หรือเรื่อง เกรียนฟิคชั่น เราเห็นสภาพของเมืองและชนบททางเหนือ ผ่านภาพที่หลาย ๆ ครั้งถือเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยดำเนินเรื่องได้อีก คล้ายกับงานภาพของมาโกโตะ ชินไค ที่แค่ภาพสวย ๆ ของบรรยากาศต่าง ๆ ก็ช่วยขยายเรื่องราวของภาพยนตร์ได้แล้ว

รีเมกจากหนังเกาหลี?

 
 
หากใครนั่งดูจนถึงเครดิตจบ คงจะเห็นแล้วว่านี่คือภาพยนตร์ที่รีเมกมาจากหนังเกาหลีสุดฮิตในปี 2001 อย่างเรื่อง Bungee Jumping of Their Own (번지점프를 하다) มาอีกที นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมภาพยนตร์ถึงต้องเดินเส้นเรื่องมาแบบนี้ (รวมไปถึงเรื่องการกลับชาติมาเกิด การเวียนว่ายตายเกิด ของภาพยนตร์ด้วย) ถึงอย่างนั้น ผู้กำกับฯ ก็เรียกว่ายกเครื่องใหม่แบบแทบมองไม่เห็นถึงหนังต้นฉบับ การเปลี่ยนซีเควนซ์ของภาพยนตร์โดยเอาครึ่งหลังของหนังต้นฉบับมาเป็นครึ่งแรกของเวอร์ชันไทยนี้แทน และต้องปรับเปลี่ยนครึ่งหลังของเรื่องให้ก้าวไปสู่เรื่องราวความรักต้องห้ามที่มากกว่าชายรักชายให้ได้ นั่นเป็นที่มาว่าทำไมเรื่องราวของ ดิว ไปด้วยกันนะ ถึงเป็นแบบนี้
 
 
แต่ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะต่างหันไม่น้อยกับเวอร์ชันเกาหลี แต่เราก็อยากให้ลองดูเวอร์ชันเกาหลีสักครั้ง เพราะบอกเลยว่าเรื่องนี้ถือเป็นตำนานเลยนะ ดูทีไรก็ต้องเซอร์ไพรส์ในกลาย ๆ พล็อตของหนังตลอด และความซับซ้อนของเรื่องราวนั้นมีมากกว่าเวอร์ชันไทยอยู่มาก ลองหามาดู รับรองว่าพีก

เทียบกับ "รักแห่งสยาม" และ "Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ"

 
 
ไม่แปลกที่ใครหลายคนจะหยิบเอาหนังรักแห่งยุคอย่าง รักแห่งสยาม ผลงานของเขาเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมาเปรียบเทียบกับหนังเรื่องใหม่ของเขา หรือบางคนก็อาจหยิบไปเปรียบเทียบกับ Home ความรัก ความรัก ความทรงจำ ในพาร์ตแรกของภาพยนตร์ด้วย เพราะค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของการทำความรู้จัก การพูดคุย ความสัมพันธ์ และการจากลา ซึ่งสำหรับเราแล้ว อาจเป็นอะไรที่นำมาเทียบกันไม่ได้ เพราะแม้จะเดินเรื่องบนความ LGBTQ+ เหมือนกัน แต่เรื่องราวและสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารนั้นต่างกัน 
 
 
หากจะต้องเทียบกันจริง ๆ ก็ต้องบอกว่ารักแห่งสยามนั้นมีมิติของเรื่องราวที่ครบครันกว่า มันไปไกลมากกว่าแค่เรื่องของคนสองคน และสังคมโดยรอบ แต่ยังมีมุมของครอบครัว มุมของกลุ่มเพื่อน มุมของการใช้ชีวิต ไปจนถึงมุมของสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้อีกด้วย ส่วน HOME นั้นก็มอบความสุขในสิ่งที่เราหวังไว้ได้อย่างครบถ้วน แต่ถึงอย่างนั้น ดิว ไปด้วยกันนะ ก็เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ส่งผลต่อความรู้สึกหลังจากชมภาพยนตร์จบได้มากเลยทีเดียว และเราก็เชื่อว่า นี่คือภาพยนตร์ที่ดีและคู่ควรแก่การตีตั๋วเข้าไปชมสักครั้งของปีนี้
 
ดิว ไปด้วยกันนะ เข้าฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์