จากบ้านสีเหลืองของแวนโก๊ะ

หลายคนอาจเคยได้ยินความเป็นมาของ The Yellow House บ้านสีเหลืองหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ตรงหัวมุมถนนของเมือง Arles (อาร์เลอส์) ในฝรั่งเศส สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งศิลปินเอกของโลกอย่าง Vincent Van Gogh (ฟินเซนต์ ฟัน โคค) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ใช้ทำเป็นสตูดิโอและที่พักอาศัยในช่วงหนึ่งของชีวิต ร่วมกับเพื่อนอาร์ตติสต์อีกคนอย่าง Paul Gauguin (ปอล โกแก็ง) จนถึงขนาดที่แวนโก๊ะเองเคยเขียนภาพสีน้ำมันรูปบ้านหลังนี้ในชื่อ The Yellow House เก็บไว้เป็นที่ระลึก และถือเป็นหนึ่งในภาพอันโด่งดังของเขาในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
แต่เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเหลืองอ๋อยแสนสะดุดตา ซึ่งดึงดูดให้ศิลปินอย่างโกแก็งตัดสินใจย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับแวนโก๊ะ คือความพยายามของศิลปินหนุ่มที่อยากตกแต่งบ้านให้สวยงามและเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจมากพอที่จะล่อให้โกแก็งสมัครใจย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ของ 2 จิตรกร เอาไว้แลกเปลี่ยนไอเดีย แรงบันดาลใจ และทำงานศิลปะร่วมกัน จึงเป็นที่มาให้เกิดเป็น Sunflower Store ที่จับเอาห้องแถว 2 ชั้น จำนวน 1 คูหาถ้วนในย่านปากคลองตลาด มารีโนเวตใหม่ภายใต้แรงบันดาลใจของนักออกแบบเปี่ยมฝันในนาม Splendour Solis เพื่อสร้างพื้นที่อเนกประสงค์ไว้ปลดปล่อยไอเดีย และเชิญชวนผองเพื่อนที่มีความเชื่อเดียวกัน อย่างศิลปินนักปั้นเซรามิกและนักจัดดอกไม้จาก Flowers In The Vase และ Flowers In The Mist มารวมเข้ากับป็อปอัปชอปเล็ก ๆ ขายสินค้าแนวอีโคอย่าง Zero Factory โดยมีสตูดิโอดีไซเนอร์อย่าง Splendour Solis ทำงานอยู่ด้านบน จนเกิดเป็นพื้นที่แห่งความฝัน ภายใต้หลังคาและประตูสีฟ้าพาสเทลที่เราจะพาไปทำความรู้จักกันในวันนี้นั่นเอง
สู่ประตูสีฟ้าของดีไซเนอร์ช่างฝัน
ถึงแม้จะไม่ได้ทาสีบ้านเหลืองอ๋อยตามแบบบ้านต้นฉบับของจิตรกรเอก แต่ประตูหน้าร้านสีฟ้าที่ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้แห้ง ตกแต่งด้านในเป็นโซนที่นั่งไว้จิบกาแฟ โต๊ะทำงานกลางบ้านขนาดใหญ่ ชั้นวางสินค้าแนวอีโคที่ริมผนัง และสเตชันดริปกาแฟและจัดดอกไม้ ที่กระจุกรวมกันอยู่แบบพอดิบพอดี ก็สามารถดึงดูดให้แม้แต่เราเองก็อยากย้ายข้าวย้ายของมาฝังตัวอยู่ในบ้านดอกทานตะวันแห่งนี้แบบไม่มีข้อแม้ได้แล้ว
ไหน ๆ วันนี้เราก็แอบนัดแนะมาบุกบ้าน Sunflower Store ฉบับเฉพาะกิจกันแล้วทั้งที จะให้มาอ้อยอิ่งพูดถึงหน้าประตูสีฟ้าพาสเทลที่โดดเด้งเตะตาคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวย่านปากคลองตลาดนี้อย่างเดียวเห็นทีจะไม่ได้ เราเลยขออาสาเคาะประตูแล้วพาทุกคนเข้าไปทำความรู้จักแต่ละโซนในบ้านเล็กหลังนี้ พร้อมค้นตัวตนเหล่าดีไซเนอร์ผู้ร่วมชายคาบ้านดอกทานตะวันผ่านบทสนทนาสั้น ๆ การเดินขึ้นเดินลงชั้นบนล่าง และการนั่งจิบกาแฟยามบ่ายแก่ ๆ กันสักนิดสักหน่อย


เริ่มจากโซนบาร์เครื่องดื่มที่เรียกตัวเองว่า Saturday Bar ซึ่งจะเปิดทำการเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น แต่ด้วยความที่วันนี้เราโชคดีที่พี่หน่อไม้-หนึ่งในเจ้าของร่วมแห่งบ้านดอกทานตะวันหลังนี้ (ผู้นั่งทำงานเพลิน ๆ อยู่ในโซนออฟฟิศด้านบน) มีเวลาว่างเดินลงมาต้อนรับเราพอดี Drip Coffee (120 บาท) จากเมล็ดกาแฟแรนด้อมที่ได้มาจากเพื่อนบ้าง จากการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง และ Matcha (100 บาท) ที่ชงด้วยผงมัทฉะเกรดพรีเมียมนำเข้าจากญี่ปุ่น เลยถูกยกมาเสิร์ฟให้เราได้นั่งจิบดับกระหายที่เก้าอี้สีเหลืองเขียวติดริมกระจกหน้าร้าน โดยเสิร์ฟมาในภาชนะดินเผาทำมือของแบรนด์ Flowers In The Vase จากฝีมือน้องเอิร์ธ นักปั้นเซรามิกเลือดใหม่ที่แชร์พื้นที่บ้านดอกทานตะวันแห่งนี้ร่วมกันนั่นเอง

จุด ๆ นี้ถึงแม้จะเป็นบาร์เครื่องดื่มที่เปิดเฉพาะวันเสาร์ แต่พี่หน่อไม้บอกว่าถ้าใครแวะมาวันอื่นแล้วบังเอิญเจอพี่แกนั่งอยู่ข้างล่างพอดี ก็สามารถรีเควสต์เครื่องดื่มได้ แค่ขอให้โน้ตไว้ว่าเมนูจะไม่ครบองค์ประชุมเท่ากับวันเสาร์เท่านั้นแหละ

นอกจากแบ่งพื้นที่ให้บาร์เครื่องดื่มและโซนนั่งชิลล์ริมกระจกแล้ว ที่ชั้นล่างนี้ยังเป็นที่ตั้งของสเตชันสินค้าแนวอีโคของ Zerofactory มัลติแบรนด์สโตร์ที่รวมเอาไอเทมเจ๋ง ๆ อย่าง Kinto, Moreloop, ibagu และ Refill Station ที่เราสามารถเอาขวดเปล่ามาเติมยาสระผมและสบู่สูตรออร์แกนิกได้เลยแบบคิดราคาตามน้ำหนัก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกคัดเลือกมาภายใต้ไอเดียรักษ์โลกของทีม Splendour Solis ที่ตั้งใจหยิบเอาแนวคิดสาย Save The World มาทำให้เข้าใจง่ายและทำได้จริง ด้วยการผสมผสานงานดีไซน์ให้เข้ากับชีวิตประจำวันที่ชาวบ้านแถว ๆ นี้และลูกค้าที่ร้านสามารถช่วยกันรักษ์โลกได้แบบไม่ต้องหักดิบตัวเองมากนัก


นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เหลือเฟือไว้แบ่งปันให้แบรนด์ดอกไม้ชื่อดังในไอจีอย่าง Flowers In The Mist ใช้ปักหมุดเป็นหน้าร้าน รวมถึงวางสินค้าเซรามิกแฮนด์เมดจาก Flowers In The Vase ให้ได้เลือกซื้อกลับบ้าน รวมถึงจัดทำเวิร์กชอปจัดดอกไม้และปั้นเซรามิกบ้างเป็นครั้งคราว แล้วแต่โอกาสจะอำนวยในพื้นที่ร่วมกลางร้านอีกด้วย


ส่วนพื้นที่ด้านบนบ้านที่นอกจากน้องเอิร์ธจะยึดครองไปครึ่งหนึ่งไว้ใช้สำหรับปั้นดินทำเซรามิกแล้ว อีกส่วนหนึ่ง (ถ้าไม่นับแปลงดอกไม้ของพี่หน่อไม้) ถูกแบ่งใช้เป็นฐานทัพของ Splendour Solis เหล่าดีไซเนอร์กลุ่มเล็ก ๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ รับทำงานดีไซน์นอกกรอบหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานอิเวนต์ ไปจนถึงงานสเกลใหญ่อย่าง Nescafe Cold Brew Cafe ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ถึงแม้จะมีสมาชิกในออฟฟิศแค่ไม่กี่คน แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับงานไอเดียบรรเจิดที่ถ้าใครอยากจ้างงาน พี่ ๆ ทีมนี้เขาก็ขอแอบฝากร้านไว้เลย ณ จุดนี้เด้อ!
Soimilk Says: ห้องแถวเก่าหนึ่งคูหาอาจดูกระจ้อยร่อยซะเหลือเกินสำหรับใครบางคน แต่เราเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าสำหรับนักช่างฝันอีกหลายคน พื้นที่เพียงเล็ก ๆ ก็อาจเพียงพอแล้ว ที่จะเพาะปลูกต้นกล้าแห่งแรงบันดาลใจให้งอกงาม และการเจริญเติบโตของต้นศิลปะก็ไม่สามารถวัดกันได้ด้วยขนาดพื้นที่เลยจริง ๆ บ้านทานตะวันหลังนี้เลยเปรียบเสมือนฮับเล็ก ๆ ที่ใครเดินผ่านไปผ่านมาแถวปากคลองตลาดสามารถแวะเข้าไปดูดซับพลังบวก ไอเดีย แรงบันดาลใจ และชอปปิงไอเทมเจ๋ง ๆ ติดมือกลับบ้านกันได้ตลอด (ใครแวะไปวันเสาร์อย่าลืมชิมเมนูพิเศษ Sunflower Drink แทนเราด้วยล่ะ รอบที่แล้วไม่ได้ชิม!)
Sunflower Store 174 ถ.อัษฎางค์ (ปากคลองตลาด) เวลาทำการ อังคาร-ศุกร์ 13:00-18:00 น. และ เสาร์ 11:00-17:00 น. (ปิดวันอาทิตย์-จันทร์) โทร. 089-208-8881 fb.com/sunflowerstorebkk MRT สนามไชย