Skip to main content
AdSense

เคาะประตู Sunflower Store บ้านดอกทานตะวันของเหล่าดีไซเนอร์กับพื้นที่อเนกประสงค์ที่เป็นได้ทุกอย่าง

บ้านเล็กแต่ไอเดียใหญ่

เคาะประตู Sunflower Store บ้านดอกทานตะวันของเหล่าดีไซเนอร์กับพื้นที่อเนกประสงค์ที่เป็นได้ทุกอย่าง
March 10, 2020 Bangkok time

จากบ้านสีเหลืองของแวนโก๊ะ

 
 
หลายคนอาจเคยได้ยินความเป็นมาของ The Yellow House บ้านสีเหลืองหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ตรงหัวมุมถนนของเมือง Arles (อาร์เลอส์) ในฝรั่งเศส สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งศิลปินเอกของโลกอย่าง Vincent Van Gogh (ฟินเซนต์ ฟัน โคค) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ใช้ทำเป็นสตูดิโอและที่พักอาศัยในช่วงหนึ่งของชีวิต ร่วมกับเพื่อนอาร์ตติสต์อีกคนอย่าง Paul Gauguin (ปอล โกแก็ง) จนถึงขนาดที่แวนโก๊ะเองเคยเขียนภาพสีน้ำมันรูปบ้านหลังนี้ในชื่อ The Yellow House เก็บไว้เป็นที่ระลึก และถือเป็นหนึ่งในภาพอันโด่งดังของเขาในเวลาต่อมา ซึ่งปัจจุบันถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
 
แต่เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความเหลืองอ๋อยแสนสะดุดตา ซึ่งดึงดูดให้ศิลปินอย่างโกแก็งตัดสินใจย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับแวนโก๊ะ คือความพยายามของศิลปินหนุ่มที่อยากตกแต่งบ้านให้สวยงามและเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจมากพอที่จะล่อให้โกแก็งสมัครใจย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นคอมมูนิตี้เล็ก ๆ ของ 2 จิตรกร เอาไว้แลกเปลี่ยนไอเดีย แรงบันดาลใจ และทำงานศิลปะร่วมกัน จึงเป็นที่มาให้เกิดเป็น Sunflower Store ที่จับเอาห้องแถว 2 ชั้น จำนวน 1 คูหาถ้วนในย่านปากคลองตลาด มารีโนเวตใหม่ภายใต้แรงบันดาลใจของนักออกแบบเปี่ยมฝันในนาม Splendour Solis เพื่อสร้างพื้นที่อเนกประสงค์ไว้ปลดปล่อยไอเดีย และเชิญชวนผองเพื่อนที่มีความเชื่อเดียวกัน อย่างศิลปินนักปั้นเซรามิกและนักจัดดอกไม้จาก Flowers In The Vase และ Flowers In The Mist มารวมเข้ากับป็อปอัปชอปเล็ก ๆ ขายสินค้าแนวอีโคอย่าง Zero Factory โดยมีสตูดิโอดีไซเนอร์อย่าง Splendour Solis ทำงานอยู่ด้านบน จนเกิดเป็นพื้นที่แห่งความฝัน ภายใต้หลังคาและประตูสีฟ้าพาสเทลที่เราจะพาไปทำความรู้จักกันในวันนี้นั่นเอง

สู่ประตูสีฟ้าของดีไซเนอร์ช่างฝัน

 
ถึงแม้จะไม่ได้ทาสีบ้านเหลืองอ๋อยตามแบบบ้านต้นฉบับของจิตรกรเอก แต่ประตูหน้าร้านสีฟ้าที่ประดับประดาด้วยพวงดอกไม้แห้ง ตกแต่งด้านในเป็นโซนที่นั่งไว้จิบกาแฟ โต๊ะทำงานกลางบ้านขนาดใหญ่ ชั้นวางสินค้าแนวอีโคที่ริมผนัง และสเตชันดริปกาแฟและจัดดอกไม้ ที่กระจุกรวมกันอยู่แบบพอดิบพอดี ก็สามารถดึงดูดให้แม้แต่เราเองก็อยากย้ายข้าวย้ายของมาฝังตัวอยู่ในบ้านดอกทานตะวันแห่งนี้แบบไม่มีข้อแม้ได้แล้ว
 
ไหน ๆ วันนี้เราก็แอบนัดแนะมาบุกบ้าน Sunflower Store ฉบับเฉพาะกิจกันแล้วทั้งที จะให้มาอ้อยอิ่งพูดถึงหน้าประตูสีฟ้าพาสเทลที่โดดเด้งเตะตาคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวย่านปากคลองตลาดนี้อย่างเดียวเห็นทีจะไม่ได้ เราเลยขออาสาเคาะประตูแล้วพาทุกคนเข้าไปทำความรู้จักแต่ละโซนในบ้านเล็กหลังนี้ พร้อมค้นตัวตนเหล่าดีไซเนอร์ผู้ร่วมชายคาบ้านดอกทานตะวันผ่านบทสนทนาสั้น ๆ การเดินขึ้นเดินลงชั้นบนล่าง และการนั่งจิบกาแฟยามบ่ายแก่ ๆ กันสักนิดสักหน่อย
 
 
 
เริ่มจากโซนบาร์เครื่องดื่มที่เรียกตัวเองว่า Saturday Bar ซึ่งจะเปิดทำการเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น แต่ด้วยความที่วันนี้เราโชคดีที่พี่หน่อไม้-หนึ่งในเจ้าของร่วมแห่งบ้านดอกทานตะวันหลังนี้ (ผู้นั่งทำงานเพลิน ๆ อยู่ในโซนออฟฟิศด้านบน) มีเวลาว่างเดินลงมาต้อนรับเราพอดี Drip Coffee (120 บาท) จากเมล็ดกาแฟแรนด้อมที่ได้มาจากเพื่อนบ้าง จากการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง และ Matcha (100 บาท) ที่ชงด้วยผงมัทฉะเกรดพรีเมียมนำเข้าจากญี่ปุ่น เลยถูกยกมาเสิร์ฟให้เราได้นั่งจิบดับกระหายที่เก้าอี้สีเหลืองเขียวติดริมกระจกหน้าร้าน โดยเสิร์ฟมาในภาชนะดินเผาทำมือของแบรนด์ Flowers In The Vase จากฝีมือน้องเอิร์ธ นักปั้นเซรามิกเลือดใหม่ที่แชร์พื้นที่บ้านดอกทานตะวันแห่งนี้ร่วมกันนั่นเอง
 
 
จุด ๆ นี้ถึงแม้จะเป็นบาร์เครื่องดื่มที่เปิดเฉพาะวันเสาร์ แต่พี่หน่อไม้บอกว่าถ้าใครแวะมาวันอื่นแล้วบังเอิญเจอพี่แกนั่งอยู่ข้างล่างพอดี ก็สามารถรีเควสต์เครื่องดื่มได้ แค่ขอให้โน้ตไว้ว่าเมนูจะไม่ครบองค์ประชุมเท่ากับวันเสาร์เท่านั้นแหละ
 
 
นอกจากแบ่งพื้นที่ให้บาร์เครื่องดื่มและโซนนั่งชิลล์ริมกระจกแล้ว ที่ชั้นล่างนี้ยังเป็นที่ตั้งของสเตชันสินค้าแนวอีโคของ Zerofactory มัลติแบรนด์สโตร์ที่รวมเอาไอเทมเจ๋ง ๆ อย่าง Kinto, Moreloop, ibagu และ Refill Station ที่เราสามารถเอาขวดเปล่ามาเติมยาสระผมและสบู่สูตรออร์แกนิกได้เลยแบบคิดราคาตามน้ำหนัก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกคัดเลือกมาภายใต้ไอเดียรักษ์โลกของทีม Splendour Solis ที่ตั้งใจหยิบเอาแนวคิดสาย Save The World มาทำให้เข้าใจง่ายและทำได้จริง ด้วยการผสมผสานงานดีไซน์ให้เข้ากับชีวิตประจำวันที่ชาวบ้านแถว ๆ นี้และลูกค้าที่ร้านสามารถช่วยกันรักษ์โลกได้แบบไม่ต้องหักดิบตัวเองมากนัก
 
 
 
นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เหลือเฟือไว้แบ่งปันให้แบรนด์ดอกไม้ชื่อดังในไอจีอย่าง Flowers In The Mist ใช้ปักหมุดเป็นหน้าร้าน รวมถึงวางสินค้าเซรามิกแฮนด์เมดจาก Flowers In The Vase ให้ได้เลือกซื้อกลับบ้าน รวมถึงจัดทำเวิร์กชอปจัดดอกไม้และปั้นเซรามิกบ้างเป็นครั้งคราว แล้วแต่โอกาสจะอำนวยในพื้นที่ร่วมกลางร้านอีกด้วย
 
 
 
ส่วนพื้นที่ด้านบนบ้านที่นอกจากน้องเอิร์ธจะยึดครองไปครึ่งหนึ่งไว้ใช้สำหรับปั้นดินทำเซรามิกแล้ว อีกส่วนหนึ่ง (ถ้าไม่นับแปลงดอกไม้ของพี่หน่อไม้) ถูกแบ่งใช้เป็นฐานทัพของ Splendour Solis เหล่าดีไซเนอร์กลุ่มเล็ก ๆ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ รับทำงานดีไซน์นอกกรอบหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่งานอิเวนต์ ไปจนถึงงานสเกลใหญ่อย่าง Nescafe Cold Brew Cafe ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ถึงแม้จะมีสมาชิกในออฟฟิศแค่ไม่กี่คน แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับงานไอเดียบรรเจิดที่ถ้าใครอยากจ้างงาน พี่ ๆ ทีมนี้เขาก็ขอแอบฝากร้านไว้เลย ณ จุดนี้เด้อ!
 
Soimilk Says: ห้องแถวเก่าหนึ่งคูหาอาจดูกระจ้อยร่อยซะเหลือเกินสำหรับใครบางคน แต่เราเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าสำหรับนักช่างฝันอีกหลายคน พื้นที่เพียงเล็ก ๆ ก็อาจเพียงพอแล้ว ที่จะเพาะปลูกต้นกล้าแห่งแรงบันดาลใจให้งอกงาม และการเจริญเติบโตของต้นศิลปะก็ไม่สามารถวัดกันได้ด้วยขนาดพื้นที่เลยจริง ๆ บ้านทานตะวันหลังนี้เลยเปรียบเสมือนฮับเล็ก ๆ ที่ใครเดินผ่านไปผ่านมาแถวปากคลองตลาดสามารถแวะเข้าไปดูดซับพลังบวก ไอเดีย แรงบันดาลใจ และชอปปิงไอเทมเจ๋ง ๆ ติดมือกลับบ้านกันได้ตลอด (ใครแวะไปวันเสาร์อย่าลืมชิมเมนูพิเศษ Sunflower Drink แทนเราด้วยล่ะ รอบที่แล้วไม่ได้ชิม!)
 
Sunflower Store 174 ถ.อัษฎางค์ (ปากคลองตลาด) เวลาทำการ อังคาร-ศุกร์ 13:00-18:00 น. และ เสาร์ 11:00-17:00 น. (ปิดวันอาทิตย์-จันทร์) โทร. 089-208-8881 fb.com/sunflowerstorebkk MRT สนามไชย
 
AdSense
AdSense
AdSense