คาเฟ่และร้านลับๆ ในราชเทวีที่หลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่

พวกเรารู้จัก Cocowalk เล่นกับน้องแมวที่ Caturday Cafe และไปกินซูชิต่อที่ Sushi Masa แต่ราชเทวีไม่ได้มีดีแค่นั้นนะจะบอกให้ ของดีของลับเค้ามีอยู่อีกเยอะ จะดื่มคราฟท์เบียร์ ฝึกฝีมืองานคราฟท์ เต้น K-pop หรือจะคาเฟ่ฮอปปิ้งก็อยู่ได้ที่นี่ทั้งวันอย่างไม่มีเบื่อ

 

 

ถ้าเดินข้ามสะพานหัวช้างมาจาก BACC อาจจะสังเกตงานสตรีทอาร์ตเก๋ๆ บนผนังสีขาวสะอาด รู้หรือเปล่าว่านั่นคือร้านอาหารอเมริกันพ่วงกับคราฟท์เบียร์บาร์นะ! ที่ Feat Lab ได้รวบรวมเบียร์หลากหลายไว้ให้เราลองกัน ไม่ว่าจะเป็น Hammer & Sickle (240 บาท), Deschutes Fresh Squeezed IPA (240 บาท), BrewDog Jack Hammer (270 บาท), AleSmith IPA (270 บาท) ขอบอกว่ามีอีกเยอะ พิสูจน์ได้จากขวดเบียร์ที่วางเรียงรายตามขอบหน้าต่างในร้าน

 

 

ความดีงามคือร้านนี้เปิดตั้งแต่เที่ยง จะมานั่งชิลจิบเบียร์กันยาวๆ ตั้งแต่หัววันยันดึกเลยก็ได้ไม่ว่ากัน แถมพี่เจ้าของร้าน ศิรวุฒิ อาชาไนยกุล ยังใจดีให้คำแนะนำนักหัดดื่มเกี่ยวกับเบียร์ชนิดต่างๆ ได้อีกด้วยนะ ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งจิบเบียร์ในย่านไม่พลุกพล่าน คู่กับอาหารคอมฟอร์ทฟู้ดง่ายๆ ที่เราคุ้นเคย มาถูกที่แล้ว!

 

 

---

The Journey Stories

 

 

สำหรับชาวคราฟต์เวิร์กช็อปที่ติดตามเพจเรามา อยากจะบอกว่าจะมาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทีราชเทวีก็ได้นะ! ข้างๆ สวนเฉลิมหล้าที่เต็มไปด้วยกำแพงกราฟิตี้ คือที่ตั้งของ The Journey Stories ซึ่งเป็นทั้งสถาบันเตรียมความพร้อมด้านศิลปะ และมีจัดเวิร์กช็อปทุกสัปดาห์ในห้องเรียนที่บรรยากาศดีไม่แพ้ที่ไหน โดยได้ศิลปินมานำคลาสอยู่เป็นประจำ อาทิ Riety, Nalu และ Rivy’s Curly ดังนั้นติดตามทางเพจเลยว่าจะมีเวิร์กช็อปตามความสนใจของเราหรือไม่ เดินทางสะดวกด้วย

 

 

---

Casa Lapin X Ratchathewi

 

จากร้านกาแฟโพรงกระต่ายเล็กๆ ย่านทองหล่อ Casa Lapin ได้เปิดประตูบ้านใหญ่สไตล์รัสติกหลังที่ 7 แล้วด้วยบรรยากาศสวยสบายเอาใจแฟนคลับของร้านในย่านราชเทวี บริเวณด้านหน้าโรงแรม Evergreen แน่นอนว่าเมนูกาแฟร้อนคลาสสิค (70-110 บาท) ได้ตามมาด้วย รวมไปถึง Dirty (80 บาท) ประกอบไปด้วย Double Ristretto เข้มข้นร้อนจี๋ตัดกับนมสดเย็นเจี๊ยบด้านล่าง เสิร์ฟในแก้วใสเพื่อให้เราเห็นเลเยอร์ของเครื่องดื่มได้ชัดเจน บวกกับ Affogato (180 บาท) ที่มี 2 ตัวเลือกระหว่างเอสเพรสโซ่กับมัทฉะ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลา 2 ลูก

 

 

เค้กและเบเกอรี่เริ่มต้นที่ 90 บาท แต่จุดเด่นของสาขานี้คือเมนูอาหารคาว เพราะเป็นสาขาที่ทางร้านตั้งใจนำร่องเมนูใหม่ๆ ถ้าอยากลองก่อนใครเพื่อนก็ต้องตามไปชิมด้วยตัวเองแล้วล่ะ

 

 

---

Jaywalk Cafe

 

ช้าก่อน อย่าเพิ่งเดินเลยไปไหนไกล เพราะโครงการ Cocowalk ที่เรารู้จักกันดีก็เป็นที่ซ่อนตัวของอีกหนึ่งคาเฟ่คุ้นหู ใครที่ติดใจแพนเค้กนุ่มๆ จากย่านพระอาทิตย์สามารถไปหม่ำกันได้แล้วที่ Jaywalk x Ratchathewi  รู้นะว่าสตอรว์เบอร์รี่ครีมชีสแพนเค้ก (190 บาท) โปะด้วยเจลาโต้วานิลลาก็ยังเป็นเมนูโปรดของสายหวานอยู่ดีแหละ ร้านใหญ่ขึ้นบรรยากาศโปร่งสบาย แต่ยังน่านั่งอยู่เหมือนเดิมถือว่าเป็นโบนัส  

 

 

---

BAAN by studioroom

---

Asia Building

 

 

ภายในตึกเอเชีย นั้นอาจจะดูเหมือนเต็มไปด้วยโรงเรียนกวดวิชา จึงมีเด็กๆ เดินเข้าออกอยู่บ่อยๆ แต่จะบอกว่าภายในตึกนั้นมีถึง 2 Co-working space เลยนะ! พอเดินเข้ามาในตึกสิ่งแรกที่จะเห็นคือ Ne8t Space/School/Cafe For All Makers เหมาะสำหรับหาห้องประชุมตั้งแต่ขนาดเล็กสำหรับ 4-8 คน จนไปถึงสเปซจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ที่รองรับคนได้ถึง 80-100 คน

 

 

ส่วนชั้นบนสุดของตึกนั้นคือที่ตั้งของ Joint Cafe & Workspace สเปซสีขาวที่ได้ดีไซน์ไฉไลสร้างสรรค์โดย 56th Studio มีทั้งบริการโต๊ะทำงานรวม และโต๊ะขนาดเล็กสำหรับงานกลุ่มเล็ก คิดซะว่าไม่ขาดแคลนที่ทำงานแน่นอนจ่ะ ชาวฟรีแลนซ์!

 

 

นอกจากนี้ขาแดนซ์นักเต้นทั้งหลายยังมีสตูดิโอสอนเต้น Groove Studio Bangkok อยู่บนชั้น 3 ด้วย ไมว่าจะเป็นขาฮิพฮอพ หรือจะอยากเต้นตามโอปป้าให้ได้ ทางโรงเรียนมีคลาสให้เลือกเยอะมาก ตามไปดูตารางได้ที่ www.groovestudiobangkok.com เลย

 

---

Di Cafe by Monomer

 

 

ข้อดีของโฮสเทลในกรุงเทพฯ คือ เสน่ห์ของความเป็นกันเองของที่พัก อีกทั้งมักจะมากับคาเฟ่ดีๆ ที่คนส่วนใหญ่อาจจะมองข้าม ครั้งแรกที่เราเดินผ่าน Di Cafe นั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Monomer อีกหนึ่งโฮสเทลประจำย่านนี้ รู้เพียงแต่ว่าซ่อนอยู่ในซอยที่ดูเงียบสงบเป็นส่วนตัวมาก

 

ด้วยดีไซน์อบอุ่นไม่ต่างจากตัวโฮสเทลเองเลย จึงเป็นร้านที่เหมาะไปนั่งเริ่มต้นวันใหม่ มีบริการเซ็ตอาหารเช้าอย่างไข่กระทะ (85 บาท) และเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลายเอาใจทั้งคอกาแฟด้วยเมล็ดกาแฟไทยที่ทางร้านใช้ เสิร์ฟในแก้วเซรามิกน่ารัก เราสามารถซื้อติดมือกลับบ้านไปลองฝึก Latte Art เองได้ด้วยนะ

 

 

นอกจากนี้ยังมีเมนูของหวานประเภทเค้ก เช่น บราวนี่ชีสเค้กราดซอสคาราเมล และไอศครีมโฮมเมดรสชาติน่าสนใจ อาทิ ป็อบคอร์น อัลมอนด์คาราเมล และฮันนี่เบค่อน เราชอบที่ทางร้านเปิดให้นั่งได้นานเท่าไหร่ก็ได้สบายๆ จะขึ้นไปนั่งทำงานบนชั้นสองก็ไม่ผิด แต่ส่วนตัวแล้วเราแนะนำให้ไปนั่งบริเวณหน้าร้านในวันที่อากาศดี ขอบอกว่าชิลล์ดีมากทำให้ลืมไปเลยว่าอยู่ในย่านที่พลุกพล่าน ห่างจากสยามเพียงสถานีเดียว 

 

 

---

Lazy Mary Coffee

 

 

พอพูดถึงซอยพญานาค เรารู้นะว่าคิดถึง Sushi Masa ทันที แต่เดินเลยไปอีกนิดจะเจอกับห้องแถวขนาดจิ๋ว พร้อมกับเก้าอี้ไม้สีอ่อนสองตัวตั้งอยู่ด้านหน้า มองเข้าไปด้านในจะเห็นบาริสต้าในเอี๊ยมสีน้ำตาลสไตล์ญี่ปุ่นผลัดกันชงกาแฟตั้งแต่เช้า ภายในร้านให้กลิ่นอายเหมือนอยู่ในคาเฟ่ในโตเกียว พร้อมกับการตกแต่งด้วยของจุกจิกน่ารักอยู่บนตู้

 

 

เราชอบเครื่องดื่ม signature ของร้านมีลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง Happy Hot Chocolate (120 บาท) และกาแฟลาเต้เสิร์ฟพร้อมกับไอศครีมวานิลลาในเมนู Doppio Vanila Iced Coffee (120 บาท) และเมนูเปรี้ยวสุดสดชื่นอย่าง Passionfruit with Berry Ice Cube (105 บาท)

 

รวมไปถึงชาร้อนหอมๆ อีก 6 ประเภทในวันที่ฝนพรำ จะนั่งเล่นทำตัวเลย์ซี่เป็นชั่วโมง หรือจะลากเก้าอี้ไม้มานั่งทำงานบริเวณเคาน์เตอร์ทั้งวันก็ไม่มีใครว่า (มี wifi และปลั๊กจ้ะ)  เรียกว่าเป็นคาเฟ่ที่ทุกคนอยากให้มีในซอยบ้านตัวเองก็ว่าได้    

 

 

---

Loyshy Bar

 

 

อย่าคิดนะว่าจะมัวแต่นั่งสโลว์ไลฟ์กันอย่างเดียว ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านซูชิชื่อดังเลยคือ Loy Shy อีกหนึ่งบาร์ในกรุงเทพฯ ที่เหมาะสำหรับคอดนตรีอย่างมาก เพราะทุกวันที่บาร์จะมีวงดนตรีสดตั้งแต่สามทุ่มครึ่งเป็นต้นไปแต่ในแต่ละวันจะเปลี่ยนแนวดนตรีไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวร็อค โอลดีส์คลาสสิคประเภท Bee Gees และ Beatles จนไปถึง r&b และฮิพฮอพ

 

นอกจากนี้ทางร้านยังขยันนำศิลปินอินดี้มาจัดอีเวนต์ด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็น Poly Cat โป้ โยคีเพลย์บอย อิ๊ง วรันธร และ เปอติ๊ด เอ้ พัด กิฟท์ และแซมจากรายการ The Voice เหมาะสั่งเบียร์สดเย็นๆ แต่เราแนะนำให้โทรไปจองร้านล่วงหน้าโดยเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์นะ เพราะคนแน่นโต๊ะเต็มจ้า!

 

 

744/2 ซอยพญานาค โทร. 090-970-6439 เวลาทำการ ทุกวัน 18:00-01:00น.

---

 

---