Skip to main content

Soimilk Review: หวีดห้องสวีตที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok พื้นที่ที่สะสมประวัติศาสตร์ไว้มากพอ ๆ กับประสบการณ์การบริการ

พักร่าง เข้าสปา จิบชา เที่ยวแกลเลอรี

Soimilk Review: หวีดห้องสวีตที่ 137 Pillars Suites & Residences Bangkok พื้นที่ที่สะสมประวัติศาสตร์ไว้มากพอ ๆ กับประสบการณ์การบริการ
November 25, 2022 Bangkok time
ในที่สุด... เราก็คลายสงสัยได้แล้ว ว่าทำไมที่พักทำเลดีอย่าง 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ถึงต้อง '137' และ 'เสา 137 ต้น' ที่แปลตรง ๆ ได้จากชื่ออยู่ตรงไหนกันแน่ และวันนี้เราไม่ได้จะมาเฉลยปริศนานี้เท่านั้น แต่ยังจะพาชาวซอยมิลค์ไปดูบรรยากาศของห้องสวีตชั้นบนสุดของทางฝั่งโรงแรมของเขากันด้วย ซึ่งที่บอกว่าเป็น 'ฝั่งโรงแรม' ก็เพราะว่าที่นี่มีบริการห้องพักเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ สำหรับผู้เข้าพักระยะยาว ให้ฟีลแบบอยู่คอนโดเลยล่ะ ส่วนนี้เป็นอีกตัวเลือกที่ชาวต่างชาติผู้ต้องมาทำงานในไทยนิยมกัน
 
 
ย้อนกลับไปที่ช่วงปี ค.ศ. 1855 ที่เริ่มมีชาวอังกฤษเข้ามาในภาคเหนือของไทย เพื่อทำธุรกิจ หลังมีสนธิสัญญาเบาว์ริง ก็เกิดกิจการใหม่ขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ The Borneo Company ที่ก่อตั้งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แล้วขยายโอเปอเรชันมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มจาก 'บอร์เนียวเหนือ' ซึ่งเป็นรัฐในอาณานิคมของอังกฤษเอง (ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศมาเลเซีย) ไปยังประเทศอื่น ๆ รวมถึง 'สยาม' หรือประเทศไทยของเรานี่แหละ และเมื่อมีการตั้งสำนักงานขึ้นที่เชียงใหม่ เลยกลายเป็นที่มาของบ้านไม้แสนโอ่อ่า ซึ่งก็ตามยุคสมัย ที่ต้องแสดงความมั่งคั่งด้วยจำนวน 'เสา' จากไม้สักอย่างดี และที่นี่ก็มีเสาไม้สักทั้งหมด 137 ต้น ด้วยกัน เป็นที่มาของ 137 Pillars House ในเวลาต่อมา จนมาสู่การทำกิจการที่พักบูทีกในกรุงเทพฯ และเลือกใช้ชื่อที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 137 Pillars Suites & Residences Bangkok เพื่อคารวะให้กับอัตลักษณ์ที่ทรงคุณค่านี้
 
 
ถ้าพูดถึงส่วน 137 Pillars Suites นั้น ที่นี่มีห้องสวีตทั้งหมด 34 ห้อง แต่ละห้องมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 70 ตารางเมตร ไปจนถึง 127 ตารางเมตร (2 ห้องนอน) ซึ่งเขาจัดไว้ในโซนบนสุดของอาคาร ชั้น 24 - 32 ที่มีพื้นที่พักผ่อนและสระว่ายน้ำอินฟินิตี้แยกจากสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ส่วนกลางของห้องเรสซิเดนซ์ บนรูฟท็อปบรรยากาศสุดเอ็กซคลูซีฟ ที่เข้าใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ที่เราว้าวจริง ๆ กลับไม่ใช่สเปซพิเศษส่วนนี้หรอกนะ แต่เป็นพื้นที่ภายในห้องนี่แหละ โดยในภาพเป็นห้องแบบ อยุธยา สวีต ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 หรือก็คือเกือบจะเล็กที่สุด จากห้องสวีตทั้งหมด มีเนื้อที่รวม 95 ตารางเมตร ชนิดที่เดินจากอ่างล้างหน้ามาตรงประตูคือเหนื่อย!
 
 
ความประทับใจแรกที่ทักทายเราคือโซน Foyer ที่แบ่งสัดส่วนเป็นโถงโล่ง ๆ กับห้องเครื่องดื่ม มีตู้เย็น ตู้ไวน์ อุปกรณ์ผสมค็อกเทล เครื่องชงกาแฟ เซตชากาแฟ และภาชนะพร้อมใช้ รวมถึงพื้นที่เก็บร่มให้ จากนั้นจะเข้าสู่โซน Living Room ที่ก็แบ่งเป็นโต๊ะรับประทาน กับโต๊ะรับแขก ให้ชอยส์ในการนั่งพักผ่อนได้ดีเลย ส่วนตัวเราเป็นคนชอบนั่งทำงานในที่ที่ไม่ใช่โต๊ะทำงาน (งงมั้ย?) การมีทางเลือกให้ไม่ต้องนั่งพิมพ์งานกับแล็ปท็อปบนโต๊ะรับแขกเตี้ย ๆ ถือว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ จริง ๆ นะ
 
 
 
 
 
ถัดจากโซนพักผ่อนนั่งชิลล์ ก็ไปสู่เดินทางที่ด้านหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าวอล์กอิน พร้อมอุปกรณ์รีดผ้า ตู้และลิ้นชักเก็บสัมภาระ และตู้เซฟ จัดวางอย่างเป็นสัดส่วน ถึงค่อยเข้าสู่โซน Bedroom ที่มีเตียงใหญ่หนานุ่ม (เอ๊ะ นี่เตียงหรือของกิน?) ที่มาพร้อมเครื่องนอนผ้าฝ้ายทอ 400 เส้นด้าย สบายตัวทุกอิริยาบถแน่ ๆ ไม่ว่าจะพลิกนอนท่าไหนก็ หรือใครนอนหลับยาก จำเป็นต้องเปิดอะไรคลอ เขาก็ไม่ได้มีแค่ทีวีให้นะ แต่ยังมีเครื่องเสียง Bose ให้ต่อกับดีไวซ์เรา แล้วเปิดเพลงตามชอบได้เลย ใครเปิดอะไรตรงไหนไม่เป็น หาอะไรไม่เจอ ก็กดเรียกบัตเลอร์โลด คุณ ๆ เขาพร้อมบริการมาก ๆ
 
 
 
 
 
มาต่อกันที่ 'จุดขาย' ที่ทาง 137 เขาแสนจะภูมิใจอย่างอ่างอาบน้ำซิกเนเจอร์ (อ่างแบบนี้มีเหมือนกันในทุกห้องสวีต ต่างกันที่แปลนห้องและวิวด้านนอกเท่านั้น) กลางห้องน้ำที่กว้างขวางคล้ายจะให้เราตีลังกาใช้ซะหลายตลบ มีอ่างล้างหน้าคู่ ให้ผู้เข้าพักสามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้ มีห้องอาบน้ำและสุขาแยก ซึ่งสามารถปิดพาร์ทิชัน/ฉากกั้นห้อง เพื่อตัดขาดจากตัวห้องนอน และเปิดทีวีของตัวเองดูได้เลย อาบน้ำไปดูละครไปคือไม่เกินจริง มุมห้องน้ำบริเวณอ่างอาบน้ำมีเกลือสปาพร้อมใช้วางไว้ด้วย และเช่นเคย ใครไม่มีฝีมือในการผสมน้ำเพื่อลงแช่จริง ๆ ก็เชิญกดเรียกคุณบัตเลอร์ได้เลยจ้า
 
 
 
 
สายสปาที่ไม่อยากแช่อ่างในห้องตัวเอง ที่ชั้น 28 เขาก็มี Nitra Serenity Centre 'นิทรา เซเรนิตี้ เซ็นเตอร์' ที่แค่ชื่อก็รู้ว่าหลับสบายแล้ว ตรงนี้ต้องจองกันสักหน่อย เพราะพนักงานนวดเขามีไม่มาก และยังเน้นความไพรเวต มีห้องทรีตเมนต์ส่วนตัวแค่ 3 ห้องเท่านั้น เลยเหมาะกับการมาปลีกวิเวกและปลดเปลื้องร่างกายจากอาการออฟฟิศซินโดรมที่สุด เราลองนวดทรีตเมนต์เบสิก ๆ มาแล้ว น้ำหนักมือใด ๆ ใช้ได้เลยนะ ถือว่าผ่าน!
 
 
 
 
 
ถึงจุดนี้ เราเริ่มสงสัยว่าความเอ็กซคลูซีฟของห้องสวีตต่าง ๆ นี้ มันจะเหนือจากโซนเรสซิเดนซ์ชั้นล่าง ๆ ลงมามากน้อยเท่าไหร่ เราเลยขอแอบออกไปดูชั้นที่มีพื้นที่จัดเลี้ยง และสระว่ายน้ำส่วนกลาง ตรงชั้น 27 ปรากฏว่า... ก็สวยนี่นา! หรูหราไม่แพ้รูฟท็อปเลย แถมมุมจากุซซี่ในวันแดดร่มลมตกและเมฆฝนครึ้มอย่างวันที่เราไปก็เป็นส่วนตัวดี มีไวบ์เซ็กซี่ ๆ หน่อย ๆ ด้วย ไม่ไกลกันมีบริเวณจัดเลี้ยง มีโต๊ะเก้าอี้พร้อม และมี 'จุดถ่ายรูป' น่าหวาดเสียวที่คนกลัวความสูงอย่างเราถูกหลอกไปยืน นั่นก็คือ Glass-floor Spot ที่มองทะลุลงได้ถึงพื้นด้านล่าง บ้าบอมาก ยืนทีคือไม่กล้าขยับไปไหนจริง ๆ อะ
 
 
 
28 แล้ว 27 แล้ว มาที่ชั้นถัดมา ชั้นที่ 26 กันบ้าง สำหรับแขกที่เข้าพักห้องสวีตทุกคนสามารถเข้ารับคอมพลิเมนทารีดริงก์ได้ในช่วงเย็น ๆ ตรง 'BBC' หรือ Baan Borneo Club ศูนย์กลางการรับอาหารเช้า จิบน้ำชาบามบ่าย และนั่งดริงก์ชมวิวเมืองช่วงหัวค่ำ ซึ่งพอพูดถึงโซนนี้ ก็ต้องพูดถึงเซตน้ำชายามบ่ายของเขาสักหน่อย โดยตอนนี้เขามีสิ่งที่เรียกว่า Boutique of Jewels ชุดน้ำชาที่มาในธีม 'ความงามแห่งอัญมณี' ซึ่งเขาไม่ได้มณีแค่ชื่อนะ แต่มาในรูปแบบที่ให้เราสวมใส่ไปกินเมนูคาวหวานไปได้ด้วยเลย (แต่ห้ามอุ๊บอิ๊บใส่กลับบ้าน!) เพราะเจ้าขนมทั้งหลายถูกวางมาบนแหวน บนกำไล ให้ฟีลเจ้าหญิง ฟีลเล่นแต่งตัวตุ๊กตายังไงยังงั้น
 
 
 
ความน่ารักที่เรากล้าบอกว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเซตน้ำชาที่นี่คือความไม่เรียบง่ายและไม่เคยธรรมดาของ 'กาน้ำชา' รวมถึงถ้วยชาและจานรองที่เข้าเซต หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราเคยทึ่งกับเซตน้ำชายามบ่ายสายวีแกน Nature's Opulence Afternoon Tea ที่มาพร้อมกา Mrs. Potts ตัวละครจาก Beauty and the Beast มาแล้ว จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทีมปาตีซีเยของที่นี่เขาไปซื้อหากาน้ำชามาจากไหนมากมายและหลากหลายได้ขนาดนี้ แล้วตัดภาพมาที่ Boutique of Jewels ก็คือซื้อแหวนซื้อกำไลตุนสุดอะไรสุด ทำไมถึงต้องงานละเอียดกันขนาดนี้ หืม?
 
 
แน่นอน เมนูคาวของที่นี่ยังคงโดดเด่นที่สุด และแม้จะพยายามออกแบบให้สดใสปุ๊กปิ๊กประหนึ่งเครื่องประดับขนาดไหน แต่รสชาติที่แท้จริงก็ไม่ได้ปุ๊กปิ๊กอย่างลุคภายนอก เพราะเจ้าทาร์ตอะโวคาโดหอยเชลล์คาเวียร์ กับปูซัลซ่าเจลาตินรูบาร์บ คือโดดเด่นอลังการเกินหน้าเพื่อนมาก ๆ ขณะที่ของหวานก็เด่นไม่น้อยไปกว่ากัน และออกจะถ่ายรูปขึ้นกล้องกว่านิดหน่อยด้วย กับเมนูอย่าง มูสบลูเบอร์รีโยเกิร์ต และชีสเค้กมะม่วงราดซัลซ่ามะม่วงกับซอสมะพร้าว ที่มาในถ้วยแก้วครอบมงกุฎ เวอร์มาก!
 
 
 
ปิดท้ายการเข้าพักที่ตอบโจทย์คนนอนตื่นสายอย่างเราที่สุดคือการเปิดให้รับอาหารเช้าได้ 'ทั้งวัน' ที่ Baan Borneo Club ที่ดีที่เดิม โดยที่จะมีไลน์บุฟเฟต์แบบจำกัดเวลา และจริง ๆ แล้วก็จำกัดปริมาณด้วย เพราะที่นี่เขาชูแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อย่างของใช้ในห้องพัก โดยเฉพาะในห้องน้ำ จะมีชิ้นที่ผลิตจากวัสดุย่อยสลายได้หลายชิ้นทีเดียว ไม่ต่างกัน อาหารเช้าเขาก็คำนึงถึงเรื่อง Food Waste มาก ๆ เราเองที่เน้นนอน ไม่เน้นกิน ก็ไม่ติดที่เขาไม่เปิดไลน์บุฟเฟต์ตลอดวัน เสิร์ฟเป็นจานเดียวมาก็ปลื้มมากแล้ว และซีเล็กชันเขาก็ไม่ได้น้อยเลยนะ มีอาหารเช้าให้หลายชาติหลายสไตล์ ซึ่งเด็กไม่กินผักอย่างเราก็นี่เลย ไข่ล้วน แนบแฮชบราวน์กระจุกนึง ถ่ายรูปไม่ขึ้น (เพราะสีเหลืองไปหมด ไม่ดึงดูดสายตาเท่าไหร่) แต่พึงพอใจในรสชาติ นอกจากนี้ เรายังขอตัดเลี่ยนด้วยโจ๊กหมูซดคล่องคอ เติมเต็มมู้ด East meets West ของเราในช่วงสาย ๆ ก่อนเตรียมตัวเช็กเอาต์ได้ดีสุด ๆ
 
 
 
SAC Gallery
 
 
นิทรรศการ 'แผลเก่า' (Old Wound)
 
 
Soimilk Says: เราค่อนข้างทึ่งที่ย่านพร้อมพงษ์มีที่พักที่ฟังก์ชันดี ๆ อย่างนี้ซ่อนอยู่ แล้วยังไม่ไกลจากคาเฟ่ชิค ๆ แกลเลอรีศิลปะเริ่ด ๆ และห้างสรรพสินค้าโซน The Em District (Emporium + EmQuartier) ด้วย โดยที่ทางโรงแรมมีแท็กซี่รับส่งตลอดทั้งวัน ตามตารางเวลา อำนวยความสะดวกทั้งขาจรที่มาสปาหรือจิบชายามบ่าย แขกที่เข้าพักระยะสั้น และผู้อาศัยที่ปักหลักอยู่ระยะยาว ซึ่งบอกเลยว่าบริการเขาพรีเมียม โอ่อ่าสมฐานะ สมกับที่ยกชื่อของบ้านหลังเก่าแก่และมั่งคั่งแห่งเมืองเชียงใหม่มาตั้งเป็นชื่อโรงแรมเลย
 
137 Pillars Suites & Residences Bangkok ซ.สุขุมวิท 39 ข้อมูลเพิ่มเติมที่ 137pillarshotels.com/th/bangkok