Skip to main content

มาหากันที่มหากาฬ: ป้อมปราการด่านสุดท้ายของชุมชนเก่าย่านพระนคร

หลายครั้งที่เราผ่านไปแถวป้อมมหากาฬ 1 ใน 2 ป้อมปราการสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของย่านพระนคร แต่กลับไม่รู้เลยว่าด้านหลังกำแพงสีขาวสูงเสียดฟ้านั่นคือชุมชนเล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซึ่งย้อนรอยกลับไปนานก่อนเราเกิดเสียอีก น่าเสียดายที่แผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2540) มีผลให้ชาวบ้านต้องย้ายออกจากที่ที่พวกเขาเรียกว่า"บ้าน" เพื่อหลีกทางให้กับสวนสาธารณะแห่งใหม่ ก่อนที่ชุมชนแห่งนี้จะเหลือเพียงตำนานเล่าขานที่ไร้ชีวิต ตามเราไปดูกันว่าชุมชนข้างหลังป้อมนั้นมีชีวิตชีวาเพียงไร

มาหากันที่มหากาฬ: ป้อมปราการด่านสุดท้ายของชุมชนเก่าย่านพระนคร
April 25, 2016 Bangkok time
ตั้งป้อม
 
ป้อมมหากาฬตั้งอยู่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีแนวกำแพงทอดยาวเลียบคลองโอ่งอ่าง ก่อนหน้านี้เคยยาวประมาณ 7 กิโลเมตร แต่ตอนนี้เหลือเพียงประมาณ 170 เมตร สิ้นสุดบริเวณฝั่งตรงข้ามวัดราชนัดดา ป้อมมหากาฬก่อสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 พร้อมกับอีก 14 ป้อมปราการที่รายล้อมพระนคร ทว่าตอนนี้เหลือเพียง 2 แห่ง (อีกหนึ่งป้อมคือป้อมพระสุเมรุ) ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 
สมัยรัชกาลที่ 3 ข้างกำแพงป้อมเป็นชุมชนของบรรดาข้ารับใช้ในวัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้ตัวจริงมายืนยัน เพราะกลุ่มบ้านโบราณอายุนับร้อยปีที่ยังคงเหลืออยู่ในชุมชนเป็นหลักฐานชั้นดี แม้สภาพตอนนี้อาจจะทรุดโทรมไปบ้าง แต่เราเชื่อว่าการบูรณะซ่อมแซมก็น่าจะสามารถชุบชีวิตบ้านเก่าให้กลับมาสวยงาม ดึงดูดใจทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างแน่นอน เหมือนอาคารเก่าอีกหลายแห่งในกรุงเทพฯ ที่กลับมาครึกครื้นอีกครั้งด้วยการปรับปรุงดูแลที่ดี 
 
 
 
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นที่รู้จักในชื่อตรอกพระยาเพชรฯ ในฐานะที่ตั้งของโรงลิเกแห่งแรกของสยาม สมเด็จกรมพระชาดำรงราชานุภาพ บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ตั้งข้อสังเกตไว้ในสาสน์สมเด็จว่า เจ้าพระยาเพชรปาณี (ตรี) เป็นผู้ก่อตั้งวิกลิเกขึ้น โดยดัดแปลงจากดิเกร์ของมลายูและผสมผสานละครนอกของไทยเข้าไป แม้ตอนนี้ชุมชนจะไร้เสียงปี่พาทย์ แต่ชาวบ้านก็ยังขับขานเรื่องราวเหล่านี้ให้เราฟังอย่างภาคภูมิใจ
 
 
นอกจากลิเกแล้ว ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยในฐานะแหล่งซื้อขายพลุและดอกไม้ไฟของกรุงเทพฯ แม้ในปัจจุบันจะเหลือเพียงไม่กี่ร้าน และจากการสอบถามได้ความว่าร้านที่เหลือก็กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากขัดต่อกฎหมาย แต่เราเชื่อว่าผู้เถ้าผู้แก่ก็ยังคงจดจำชุมชนแห่งนี้ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ
 
"ไฟเย็น" หนึ่งในของเล่นวัยเด็กของใครหลายคน
 
เชื่อว่าหลายคนคุ้นเคยกับ "กระเทียม"
 
ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่คือภูมิปัญญาการทำกรงนกเขาชวาแบบโบราณ
 
“บ้านพี่ทำกรงนกมาสืบทอดกันมา 3 รุ่น พี่เป็นรุ่นที่ 3” พี่อ้วน เจ้าของร้านกรงนกร้านเดียวที่ยังเปิดทำการอยู่เล่าให้เราฟัง แม้ในกรุงเทพฯ จะมีแหล่งทำกรงนกเขาชวาแหล่งอื่นๆ แต่พี่อ้วนบอกว่าที่นี่คือแห่งเดียวที่ทำด้วยมือ โดยกว่าจะมาเป็นกรงนกที่เราคุ้นตา มีกระบวนการมากมายที่เรามองไม่เห็น ทั้งการขึ้นทรงด้วยมือ การแกะสลักลาย การทาสีและเคลือบสี แต่ถึงจะนานก็มีลูกค้าประจำรอต่อคิวซื้ออยู่ไม่ขาด
 
 
“พี่จะทำกรงนกของพี่เหมือนเดิม” พี่อ้วนทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม ในมือของเธอคือขอเกี่ยวกรงนกแบบฝังมุก กรงนกที่ตกแต่งอย่างวิจิตรเช่นนี้อาจมีราคาสูงถึงหลักหมื่นได้เลยทีเดียว 
 
“มีปัญหาอยู่ทำงาน[ในป้อม]ไม่ได้ รายได้ก็ลดลง ต้องไปทำงานข้างนอก” ลุงติ่ง ช่างทำกรงนกซึ่งตอนนี้ต้องพักฝีมือไว้ก่อนชั่วคราวบอกกับเรา
 
อีกหนึ่งภูมิปัญญาประจำชุมชนป้อมมหากาฬคือการปั้นเศียรพ่อแก่ บรมครูซึ่งผู้คนในแวดวงศิลปะกราบไหว้ ตอนนี้มีเพียงช่างฝีมือคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่
 
 
 
ก่อกำแพง
 
อันที่จริงภาครัฐเริ่มมีแนวคิดในการเวนคืนที่ดินหลังป้อมมหากาฬเพื่อปรับปรุงทัศนียภาพมาตั้งแต่ปี 2502 และพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินก็มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2535 ภาครัฐเสนอเงินค่าทดแทนและช่วยจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้กับชาวบ้าน โดยบางส่วนรับข้อเสนอและย้ายออกไปแล้ว แต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนที่เกิดที่นี่ ใช้ชีวิตที่นี่ และหวังใจจะตายที่นี่ พวกเขาจึงรวมตัวกันต้านแรงผลักดันจากภาครัฐ เพื่อปกป้องสถานที่ที่พวกเขาเรียกอย่างเต็มปากว่าบ้าน
 
เมื่อความคิดเห็นแตกออกเป็น 2 ฝั่ง กำแพงที่ครั้งหนึ่งเคยปกปักษ์รักษาให้ชาวเมืองพระนครอุ่นใจ จึงกลับกลายมาเป็นกำแพงที่กั้นกลางระหว่างภาครัฐและชุมชน กั้นกลางทั้ง 2 ฝ่ายจากความเข้าใจกันและกัน
 
“ครอบครัวไม่ได้หมายถึงสายเลือดเดียวกันอย่างเดียว คนในป้อมคือครอบครัวของเรา 300 คนนี้คือครอบครัวของเรา ที่นี่คือบ้านเกิดของเรา และก็จะเป็นที่ตายของเรา” พี่ดาว หนึ่งในชาวบ้านที่ยังยืนหยัดอยู่ที่นี่เล่าให้เราฟัง 
 
วันที่เราเข้าไปเดินเล่น ด้านหลังป้อมเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด ตามประตูมีคุณตาคุณยายนั่งเฝ้าอยู่ ถามไถ่ได้ความว่าชาวบ้านจัดเวรยามดูแลรักษาความปลอดภัยกัน ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่ากทม.จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาไล่อย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2546
 
 
 
 
มีเพียงลานกว้างตรงกลางเท่านั้นที่พอจะคึกคัก เพราะวันที่เราไปบังเอิญตรงกับวันที่ชาวบ้านนัดรวมตัวกันไปยื่นข้อเสนอ 5 ข้อที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานซึ่งรับหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
 
ข้อเสนอดังกล่าวมีใจความหลักว่า ชุมชนต้องการอยู่รวมกับสวนสาธารณะ ดังนั้นชาวบ้านจึงพร้อมที่จะต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม รวมทั้งเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยโดยรอบ แต่แน่นอนว่าการเสนอเรื่องสู่คณะกรรมการย่อมต้องใช้เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่มีมติออกมาแล้วเช่นนี้
 
 
 
ป้อมปราการด่านสุดท้าย
 
วันที่ 30 เม.ย. 2559 คือวันสุดท้ายที่กทม. กำหนดให้ชุมชนรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ และย้ายออกไป แต่ชาวบ้านบอกกับเราว่าจะไม่ละทิ้งบ้านของตนเด็ดขาด ด้านนายศักดิ์ชัย บุญมา ผู้อำนวยการกองจัดการกรรมสิทธิ์ สำนักงานการโยธา ยืนยันว่าไม่ว่าอย่างไรกทม. ก็ต้องทำตามพระราชกฤษฎีกา แต่อาจจะผ่อนผันให้กับชุมชนถึงกลางปีนี้
 
 
 
 
บรรยากาศริมคลองโอ่งอ่าง
 
เวลา 2 เดือนที่ได้คือการต่อลมหายใจให้กับชุมชนเก่าแห่งนี้ และเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของการต่อสู้เช่นกัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้ช่วยแค่ชุมชนป้อมมหากาฬเพียงชุมชนเดียว เพราะหากภาครัฐตอบสนองต่อข้อเสนอของชาวบ้าน และร่วมกันพัฒนาชุมชนให้เป็นส่วนหนึ่งกับสวนสาธารณะได้ ชุมชนชานพระนครแห่งนี้จะได้เป็นตัวอย่างการพัฒนาให้กับชุมชนหรือย่านเก่าแก่แห่งอื่นๆ ที่ใกล้จะสูญหายในช่วงเวลาที่เราเห็นอยู่กับตาว่าบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น บ้านบาตร สามย่าน เวิ้งนาครเขษม ตลาดพระเครื่องท่าพระจันทร์ หรือปากคลองตลาด ป้อมมหากาฬจึงไม่ได้เป็นเพียงปราการด่านสุดท้ายของชาวบ้านที่นี่ แต่ยังเป็นปราการด่านสุดท้ายของทุกชุมชนโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในกรุงเทพฯ อีกด้วย 
 

ร่วมลงชื่อแสดงจุดยืนได้ที่ https://goo.gl/0IRjpW


โบนัสสำหรับทาสแมว: มาหาแมวที่ป้อมมหากาฬ
รู้ไหมว่าในชุมชนป้อมมหากาฬมีแมวเยอะมาก แถมแต่ละตัวอ้อนเก่งทั้งนั้น เห็นเราปุ๊ปเข้ามาคลอเคลียปั๊ป! #soimeow
 
 
 
 
 
 
*ข้อมูลอ้างอิง
Photo by Panita Thiraphapong and Kankanid Mitpakdee