Blissfully Blind เป็นโชว์ของ B-floor ที่เราตั้งตารอสุดๆ เพราะเห็นตั้งแต่ทีมงานเริ่มโปรโมท เริ่มถ่ายโปสเตอร์ และซ้อมอย่างหนักตลอดหลายเดือน โชว์นี้เป็นการจับหลายศาสตร์มามัดรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการแสดง การเต้นบำบัด ศิลปะจัดวาง และการออกแบบแสงสว่าง โดยเนื้อหาหลักคือปฏิกิริยาตอบสนองของคนไทยต่อสถานการณ์รอบตัว ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจว่าจะยอมมืดบอดอย่างสุขสันต์หรือรับรู้อย่างเจ็บปวด

เรามีโอกาสได้ไปดูการแสดงรอบแรกเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา และไม่รอช้าที่จะจับเข่าพูดคุยกับ คุณดุจดาว วัฒนปกรณ์ ผู้กำกับสาวคนเก่งและสมาชิกหลักของกลุ่ม B-floor Theatre ที่ปลุกปั้น Blissfully Blind ขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง ลองมาซึมซับแนวคิดเบื้องหลังที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนของ An Experiential Performance ครั้งนี้ไปพร้อมกันเลย
ดุจดาว วัฒนปกรณ์ คือใคร?
ดุจดาว วัฒนปกรณ์ค่ะ เป็นสมาชิกหลักของกลุ่ม B-floor Theatre อยู่ตรงนี้มาประมาณ 16 ปีแล้วค่ะ ทำการแสดงมาตลอด แล้วก็มีเบื้องหลังเป็นนักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว เป็นหนึ่งในวิชาชีพที่ดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวช และผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านจิตใจกับอารมณ์ แต่ว่าไม่ใช่หมอนะคะ
"เราไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองความโรแมนติก ความแฟนตาซี ความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว"
กว่าทศวรรษกับ B-floor Theatre
กลุ่ม B-floor เกิดขึ้นในปี 1999 ปีนี้เป็นปีที่ 18 แล้วและมีสมาชิกอยู่ 10 คนค่ะ เราเน้นการทำงานแนวทดลอง และใช้ร่างกายเป็นสื่อหลักของการแสดงออก เรียกว่าใช้ร่างกายเป็นภาษาหลักเลยก็ได้ ส่วนอีกจุดหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม B-floor ก็คือเราจะทำงานที่มันสร้าง Social Awareness ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง สังคม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยสร้างความตระหนักแก่สังคมให้กับผู้ชมไปในตัว เราไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองความโรแมนติก ความแฟนตาซี ความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว
ดุจดาวตระหนักถึงอะไร?
ด้วยความที่ดาวมีเบื้องหลังเป็นจิตวิทยา เพราะฉะนั้นมุมมองสังคมของดาวก็จะเน้นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา ซึ่งมันมาจากประสบการณ์ทำงานเป็นนักจิตบำบัดนี่แหละ ดาวจะดูจาก Dynamic คน มุมมอง กลไกที่มนุษย์จัดการตัวเองในเชิงพฤติกรรม ประมาณนี้ค่ะ

ภาพจาก B-floor Theatre
แนวคิดของ Blissfully Blind
Blissfully Blind มันเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามแล้วก็สงสัยว่า อะไรที่ทำให้เราเลือกที่จะ Blind กับข้อมูลบางอย่าง ความจริงบางชุด หรือเหตุการณ์บางเรื่อง มันเกิดจากการเฝ้าสังเกตการณ์จริงๆ --คือมันคงมีมานานแล้วแหละ แต่ว่ามันชัดมากขึ้นในช่วงนี้-- ช่วงที่การเมืองการปกครองมันเข้มข้น คนเริ่มอยากแสดงความคิดเห็นในสถานที่สาธารณะ ประกอบกับการมีโซเชียลมีเดีย
ดาวค้นพบว่าคนไม่ได้แค่คิดต่างอย่างเดียว แต่มันเลือกที่จะ Blind ข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่ตัวเองไม่เห็นด้วยและขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ คือมันเป็นสิ่งที่ถ้าเขาต้องเชื่อแล้วมันจะทำให้เขาไม่มั่นคง ก็เลือกที่จะ Blind มันซะ
สมมติเลยแล้วกันว่าฝ่ายหนึ่งชอบทหาร พอไปเจออีกฝ่ายที่ไม่ชอบทหาร แล้วไปเอาสิ่งที่ทหารทำแล้วไม่โอเคมาเล่าให้ฟัง แต่อีกฝั่งก็จะเชื่อว่าข้อดีของทหารก็มีนะ ไม่ได้พูดถึงมุมที่ไม่โอเคเลย ดาวเลยสงสัยว่าทำไมเราไม่เคยคุยเรื่องเดียวกันเลย ไม่เคยมองมันพร้อมๆ กันแล้วก็พูดคุยกันจริงๆ
คือมันไม่ใช่เรื่องการเมืองอย่างเดียวนะ แม้กระทั่งเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ก็มีความ Blind อยู่ อย่างสาเหตุทีทำให้ปัญหา Domestic Violence วนเวียนอยู่ก็คือการโดน Hurt โดนทำให้เจ็บปวด คิดไปเองว่าเขายังรักเนาะ การที่เขาเอามือเอื้อมมาสัมผัสถึงแม้จะแรงไปหน่อย แต่ก็ยังแสดงว่าใส่ใจอยู่ คือแบบ... คนเรามันเลือกเชื่อในจุดที่มั่นคง อุ่นใจ ถ้าเราเห็นความจริงทุกอย่างรอบด้าน บางทีมันมากไปไง
"การที่เรายอม Aware ถึงแม้มันจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่เราก็รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นรอบตัวเรา
แต่การ Blind มันทำให้เราไม่รู้เลยว่าอะไรมันคืบคลานเข้ามาใกล้เราตั้งเยอะแยะ"
สิ่งที่โชว์ต้องการสื่อสาร
จุดกระทบใจดาวมากที่สุดคือเรื่องของการปกครองประเทศ หรือการเมืองนี่แหละ คือดาวเห็นการถกเถียงที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่เคยเจอกันสักที ก็เลยมานั่งคิดว่าการ Blind มันคืออะไร ทั้งศึกษา ทั้งอ่านหนังสือ ก็ค้นพบว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นกลไกป้องกันตัวของทุกคน คนเราพอรู้ความจริงเยอะเกินไปแล้วจะรู้สึกไม่ปลอดภัย (Insecure) มันก็จะมีการจัดการหลายแบบว่าเราจะทำความเข้าใจ ปรับสมดุล แต่ในบางคนที่ทนทานต่อความ Insecure ไม่ได้มาก ดีลกับข้อมูลชุดใหม่ไม่ได้ มันก็ยากนะ
พอมีข้อมูลอะไรที่มันเป็นอันตรายต่อใจเรา เราก็ Blind ไปเลย มองไม่เห็นไปเลย ยังใช้ชีวิตลั้ลลาในขณะที่เขามีระเบิดในอีกสองซอยถัดไป ตรงนู้นเขายิงกัน แต่บางคนกลับคิดว่าไม่มีหรอก ฉันยังอยู่ดี มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือน ไปเที่ยวได้ทุกวัน คือชีวิตเขาเหมือนจะเซฟนะ แต่จริงๆ มันไม่เซฟหรอก การที่เรายอม Aware ถึงแม้มันจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่เราก็รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นรอบตัวเรา แต่การ Blind มันทำให้เราไม่รู้เลยว่าอะไรมันคืบคลานเข้ามาใกล้เราตั้งเยอะแยะ เราอาจจะได้รับผลกระทบไปแล้วด้วยซ้ำทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว มันอันตรายนะแบบนั้น
"ประสบการณ์ของคนดูคือสารของงานเรา"
An Experiential Performance
ที่ดาวใช้คำนี้เพราะเชื่อว่า ประสบการณ์ของคนดูคือสารของงานเรา มันไม่ได้อยู่แค่ที่ Installation นักแสดง แสง หรือซาวด์ ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่จะเห็นหรือได้ยิน แต่มันอยู่กับสิ่งที่คนหนึ่งคนได้เห็น ได้ยิน สัมผัส เคลื่อนไหว และประกอบกันทั้งหมดเป็นประสบการณ์ โชว์นี้จะให้อิสระจากคนดูมาก มากจนเขาอาจจะรู้สึกไม่มั่นคงเลยทีเดียวแหละ นั่นคือความตั้งใจ เพราะความไม่มั่นคงคือสิ่งที่ผลักให้เรา Blind เป็นอันดับแรกๆ เลย

Blind = มองข้าม?
การมองข้ามคือเรายังมองเห็นนะ แต่การ Blind คือไม่เห็นจริงๆ อย่างบางคนที่เรายกตรรกะบางอย่างมาแชร์แล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจไหม? แบบนั้นแหละค่ะ สำหรับดาวการ Blind ไม่ใช่เรื่องผิดนะ คนเรามันก็ Blind บางสิ่งบางอย่างกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราอยากเห็นภาพใหญ่มากกว่านี้ หรืออยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคม เราต้องหัดยอมรับมุมมองของคนอื่นที่เขาเห็นสิ่งที่เรา Blind บ้าง ต้องยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่เขาเห็นแต่เราไม่เห็น ไม่ใช่เหมารวมหมดว่ามันไม่จริง มันผิด
แสงกับการมองเห็น
ดาวตั้งใจให้เรื่องของแสงมาทำงานกับการมองเห็น เพราะมันคู่กันอยู่แล้ว แต่บางทีแสงเยอะก็มองไม่เห็นเพราะมันจ้า แสงน้อยอาจจะเห็นอีกแบบหนึ่ง ดาวได้ทีม Zieght Project เป็น Installation Artist ที่เคยเจอกันเมื่อ Wonderfruit ครั้งแรกตอน 2 ปีก่อนมาร่วมงานในครั้งนี้ โจทย์ก็จะยากขึ้นเพราะเป็น Indoor งานละเอียด เนี๊ยบเลย
ดุจดาวเลือก Blissfully Blind หรือ Painfully Aware?
ดาวเลือก Painfully Aware ค่ะ เพราะดาวไม่รู้สึกว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องที่ต้องวิ่งหนีอีกแล้ว ไม่รู้สึกว่าเราต้องกำจัดมัน และอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวค่ะ มันก็คงเหนื่อยในการ Aware กับหลายอย่าง แต่ว่าถ้าใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่รู้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม ก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลยค่ะ

ภาพโดย Lek Kiatsirikajorn
เปิดแสดงตั้งแต่วันนี้ - 30 ก.ค. เวลา 19.30 น. (ยกเว้นวันอังคารและพุธ)
บัตรราคา 700 บาท ที่ อีเวนต์เพจ
Bangkok CityCity Gallery, 13/1 สาทร 1 เวลาทำการ พุธ-อาทิตย์ 13.00-19.00 น. โทร. 083 087 2725 MRT ลุมพินี