Skip to main content

กทม.เดินหน้าทางเลียบริมเจ้าพระยาและทุกคนควรจะกังวล

กรุงเทพฯ กำลังจะเปลี่ยนไปไม่ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยแค่ไหน

March 20, 2017 Bangkok time

หลังจาก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ บอกกับประชาชาติธุรกิจ ว่าโครงการทางเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเฟสแรก ที่มีระยะทาง 14 กม. จากสะพานพระราม 7-สะพานปิ่นเกล้า มูลค่า 8,362 ล้านบาท ขณะนี้ได้แก้ไขแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเดินหน้าเพื่อเริ่มก่อสร้างตามแผนภายในปีนี้

 

แต่การที่โครงการทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยานี้ได้ดำเนินการโดยขาดความเห็นชอบและการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน ได้นำมาสู่การเรียกร้องคัดค้านตลอด 2 ปีที่ผ่านมาว่านี่เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ต้องการจริงหรือไม่ และฝ่ายบริหารมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหนต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากโปรเจคต์นี้

 

 

ด้วยขนาดของทางเลียบริมน้ำจะมีความกว้าง 7-10 เมตรที่จะส่งผลให้แม่น้ำเจ้าพระยามีขนาดแคบลง หลายฝ่ายคำนึงถึงผลที่จะตามมาทั้งทางด้านระบบนิเวศวิทยา การคมนาคม และในแง่วิถีชีวิตของคนริมฝั่งแม่น้ำ

 

หลังจากทราบข่าวความคืบหน้าครั้งนี้ทางกลุ่ม Friends of the River ที่รณรงค์ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจในโครงการนี้ ได้สรุปเหตุผลที่โปรเจคต์นี้ควรถูกพิจารณาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดกว้างก่อนจะเดินหน้าเริ่มสร้างใดๆ

 

 

นอกจากนี้หลายๆ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ได้ออกมาแสดงความเห็นบนโซเชียลมีเดีย รวมทั้งดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและเจ้าของ The Jam Factory ซึ่งเป็นอีกคนที่รณรงค์คัดค้านโครงการนี้มาโดยตลอด

 

 

ความคิดที่ว่ากรุงเทพฯ ควรจะมีทางเลียบริมเจ้าพระยาเกิดจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชาที่ริเริ่มไอเดียนี้และได้ผ่านแผนโครงการที่จะสร้างโปรเจคต์นั้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ที่จะเป็นทางขนาดกว้าง 19.5 เมตรและสูง 2.5 เมตร

 

เดิมทีโครงการดังกล่าวนี้จะเริ่มสร้างตั้งแต่ต้นปี 2559 ที่ผ่านมาแต่หลังจากที่ถูกภาคประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจนทำให้โครงการต้องถูกชะลอออกไป ทางกทม.ได้ว่าจ้างทีมจากมหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทาลัยขอนแก่นด้วยงบกว่า 120 ล้านบาท เพื่อศึกษาและออกแบบโครงการนี้ในเวลา 7 เดือน และล่าสุดแผนโครงการใหม่นี้ได้ผ่านความเห็นชอบให้ดำเนินการต่อ แม้หลายฝ่ายจะตั้งคำถามถึงคุณภาพของผลการศึกษาก็ตาม

 

โปรเจคต์เลียบแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในหลายโครงการที่ได้รับการอนุมัติโดยภาคประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อเรามองดูเหตุการณ์อย่างการเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในกระบี่ และการยกเลิกรถโดยสาร BRT ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจสำคัญๆ ที่มีผลต่อชีวิตการเป็นอยู่ของเราจะขึ้นอยู่กับหน่วยงานของรัฐและกทม.อย่างเบ็ดเสร็จ

 

ไม่ว่าโครงการเหล่านี้จะส่งผลดีหรือเสียการที่เสียงจากภาคประชาชนไม่มีความหมายก็เป็นเหตุผลในตัวมันเองที่เราทุกคนควรจะกังวล