ก่อนที่จะเข้าใจผิดเพราะจั่วหัวดูเกรี้ยวกราดสาดสี ขอออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่ได้จะมาวิจารณ์ละครเวทีเรื่องนี้แบบเสีย ๆ หาย ๆ แต่กำลังจะมาส่งต่อความรู้สึกแน่นอกแน่นใจ อารมณ์แสนวุ่นวาย และความตลกร้ายที่ทำให้เราอยากเดินไปหยิกบรรดานักแสดงคนละทีสองทีหลังละครจบ

ตั้งแต่ได้ข่าวว่าผู้กำกับละครเวทีในดวงใจ บิ๊ก-ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ กำลังทำละครเรื่องใหม่ เราก็แอบติดตามมาเรื่อย ๆ จนหวยมาออกที่ บุพกาลี และพอได้ไล่อ่านชื่อนักแสดง อันได้แก่ ดวงใจ หิรัญศรี, ภัทรสุดา อนุมานราชธน, กมลพัชร พิมสาร และเกรียงไกร ฟูเกษม ก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ถึงขั้นที่ทำสัญญาใจกับตัวเองว่า ต้องหอบร่างหลบหลีกตารางแน่นเอี๊ยดไปดูให้ได้
บุพกาลี โปรยหัวเรื่องไว้ว่า การเจรจาอย่าง ‘ผู้เจริญ’ นำไปสู่ความ ‘จั-ไร’ ที่คาดไม่ถึง ที่ใครได้อ่านแล้วก็ต้องสะอึก บทละครดัดแปลงมาจาก God of Carnage ของนักประพันธ์หญิงชาวฝรั่งเศส Yasmina Reza แน่นอนว่าเวอร์ชันแรกภาษาฝรั่งเศสประสบความสำเร็จอย่างมาก จากนั้นจึงถูกแปลไปเป็นภาษาอังกฤษเพื่อโชว์ในกรุงลอนดอนและมหานครนิวยอร์ก รวมถึงเวอร์ชันล่าสุด "ภาษาไทย" ในบริบทโมเดิร์น กรุงเท๊พ กรุงเทพฯ
รู้หรือไม่ ? บทละคร God of Carange ได้รับรางวัล Laurence Olivier Award for Best Comedy ในปี พ.ศ. 2552 รวมถึง Tony Award ถึง 3 สาขา Best Play, Best Actress in a Play และ Best Director of a Play ในปีเดียวกัน


บุพกาลี เล่าเรื่องราวของพ่อแม่ 2 คู่ ที่นัดหมายกันมาเจรจาไกล่เกลี่ยเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของลูกชาย โดยเวอร์ชันกรุงเทพฯ นี้เซ็ตให้เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เด็กชายอายุ 11 ขวบ 2 คนตีกันที่สวนลอยฟ้าของห้างเอ็มควอเทียร์ โดยเด็กชายเฟิร์สได้ใช้ไม้ฟาดเด็กชายบอสจนฟันหน้าหัก 2 ซี่ ฉากเปิดนี้ร่ายยาวเหตุการณ์แบบที่เราบอก โดยผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนมารวมตัวกันที่คอนโดของฝ่ายถูกกระทำ ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวของเราเริ่มตะโกนโหวกเหวกในหัวว่า มันไม่เมกเซนส์เอาเสียเลยที่ให้ผู้ใหญ่มานั่งเคลียร์กันเรื่องของเด็ก ๆ
เราสัมผัสได้ว่า พ่อแม่ของน้องบอส (เด็กชายฟันหัก) มีความ artsy มีเวลาใส่ใจลูก และดูเป็นครอบครัวที่เพียบพร้อมมากกว่าครอบครัวของน้องเฟิร์ส (เด็กชายไม้ฟาด) ที่พ่อแม่ดูยุ่ง วุ่นวาย ไม่ได้ร่วมกันเลี้ยงลูกมากเท่าที่ควร แกนหลักของเรื่องคือ "การเจรจาแบบผู้เจริญแล้ว" ที่ทางฝ่ายพ่อแม่น้องบอสต้องการให้น้องเฟิร์สสำนึกผิด และมาขอโทษลูกชายตัวเอง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากว่า 90 นาทีรวดแบบไม่มีพักครึ่งนี้ เกิดขึ้นในฉากเดียว เป็นการ run through เหตุการณ์เดียวของคน 4 คนที่เริ่มจาก 0 ไปจนถึง 100 ได้แบบไร้ความกระอักกระอ่วนและโหมสาดครบทุกอารมณ์

"มันเป็นละครที่พอดูจบ เธอจะเกลียดตัวละครทั้งหมดเลย หรือรักทั้งหมดเลย มันเลือกไม่ได้ว่าชอบคนนั้นนะ คนนี้นะ" เพื่อนร่วมชมละครของเรากล่าวแสดงความคิดเห็นหลังจากชมละครจบ ซึ่งเราเห็นด้วยมาก ๆ เพราะพอดูจบแล้ว เราหน่ายหน้ารำคาญตาตัวละครทุกตัว ซึ่งหมายความว่านักแสดงทั้ง 4 คนสวมบทบาทได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณแม่สายลิเบอรัลที่เชื่อว่าตัวเองจะเปลี่ยนโลกได้ คุณพ่อผู้พยายามเป็นลิเบอรัลแต่เลือดข้นด้วยพลังบางระจัน ภรรยาผู้โหยหาความรักความสนใจจากสามี และสามีที่สนใจทุกอย่างยกเว้นเรื่องใกล้ตัว
ความหงุดหงิดของการดูละครเรื่องนี้คือ ทุกคนตอแหล (หมายถึงบทบาทนะ) ทุกคนพยายามทำตัวเป็นผู้เจริญแล้ว ทั้งที่เต็มใจทำและโดนบังคับ การเจรจาใช้ไม่ได้ผลในสังคมฉาบน้ำตาล เพราะสุดท้ายทุกคนต้องเผยไส้ ธาตุแท้ และสันดานที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเองมาตั้งแต่เกิด แทนที่จะแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่ กลับกลายเป็นว่า ทุกคนเดินถอยหลังกลับไปฟาดฟันกันเหมือนเด็ก ๆ ซึ่งผลกระทบมันน่าอายและรุนแรงกว่ามาก

ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงยาวรวดเดียวจบ แต่ต้องปรบมือให้ทั้งผู้กำกับและนักแสดงทุกคนจริง ๆ ที่ทำให้ บุพกาลี เป็นละครไดอะล็อกแบบไม่จั๊กจี้หู สามารถเคลื่อนไหว เดินไปเดินมา และส่งต่ออารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะในชีวิตจริงแล้ว คงไม่มีใครควบคุมอารมณ์โมโหจนอยากจะตั๊นหน้าคนพูดจากวนประสาทได้ถึงชั่วโมงหรอก ทุกรายละเอียดจัดเต็มแบบไม่กั๊ก ทั้งฉากอ้วกกระจาย รื้อทำลายข้าวของ จนกระทั้งเปิดประตูโรงละครไปสูบบุหรี่ริมซอยทองหล่อจริง ๆ นี่อาจจะเป็นละครเวทีที่เรียล และละเอียดที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้
ถ้าถามว่า สุดท้ายการเจรจาแบบผู้เจริญนี้มันแก้ปัญหาได้ไหม ? เราขอให้ไปหาคำตอบด้วยตัวเอง
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ fb.com/Thonglorartspace
บัตรราคา 650 บาทหน้างาน (นักเรียน-นักศึกษา 400 บาท)
วันนี้ - 9 เม.ย. รอบเวลา 20:00 น. (งดทุกอังคาร-พุธ)
Thong Lor Art Space 58/14-15 สุขุมวิท 55 โทร. 095-924-4555 BTS ทองหล่อ