เรามองหาอะไรเวลามีโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัด? รีสอร์ทสวยพร้อมสระว่ายน้ำ infinity pool? คาเฟ่สุดน่ารักสำหรับถ่ายรูป? เราเป็นคนนึงแหละที่เป็นอย่างงั้นเลย! แต่ประสบการณ์ท่องเที่ยวในไทยมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านั้น วันนี้เราเลยอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ เพราะเราเชื่อว่ามันไม่บ่อยนักหรอกที่พวกเราจะได้สัมผัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด

ช่วงสงกรานต์เมื่อเดือนที่แล้ว มีเพื่อนจากต่างประเทศทักเรามาว่ากำลังจะมาเที่ยวเมืองไทย และตั้งใจว่าจะต้องไปเยือนจังหวัดกระบี่ให้ได้ เราเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปซักที แต่สิ่งที่ติดตาจากโปสการ์ดและเวลาเพื่อนๆ ไปเที่ยว คือ น้ำทะเลสีเข้มและภาพลางๆ ของหมู่เกาะในพื้นหลัง พอมีโอกาสได้ไปซักที นั่นก็คือภาพที่เราเห็นนะ ไม่ว่าจะเป็นเกาะไก่ เกาะห้อง เกาะปอดะ หรือไร่เลย์ เราเข้าใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงติดใจกระบี่กันจัง แต่ส่วนของทริปที่เราประทับใจมากที่สุด กลับกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไม่เคยได้ยินถึงมาก่อนเลย นั่นก็คือ เกาะกลาง

ตอนนั้นเราไม่ได้ไปพักแบบโฮมสเตย์ แต่เรามีโอกาสได้จัดทริปครึ่งวันไปเที่ยวเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ปากน้ำกระบี่ นั่งเรือข้ามฟากจากสวนเจ้าฟ้าจะใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีเอง และยังมีเรือรอให้บริการอยู่ตรงท่าเลยไม่ต้องจองล่วงหน้า ฝั่งนึงเราได้เห็นบ้านริมน้ำระหว่างทาง อีกฝั่งเป็นแนวป่าชายเลน จริงๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวกาญจนบุรีนิดหน่อยเหมือนกันนะ
แดดร้อนเปรี้ยงปร้างมากในตอนนั้น คิดว่าฝนน่าจะตกตอนกลางคืนแน่นอน แต่บรรยากาศมันสงบมากอยางเห็นได้ชัด อาจจะมัวแต่วุ่นทำงานเลยไม่ได้มีโอกาสตามอ่านรีวิวบนพันทิปซักเท่าไหร่ ตอนนั้นเลยยังนึกภาพไม่ออกขนาดนั้นว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ที่เกาะแห่งนี้

ที่แรกที่เราแวะเมื่อถึงเกาะกลาง คือ ร้านอาหารชื่อดังอย่าง “บ้านมะหญิง” ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลที่อร่อยมากสมชื่อจริงๆ โดยปกติเราก็มีโอกาสได้ทานอาหารใต้อยู่เรื่อยๆ แต่อาหารที่ชุมชนเกาะกลางเด็ดจริงอะไรจริง! ทุกเมนูกุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งสด ทั้งปรุงรสชาติอาหารมาได้รสเผ็ดเข้มข้นกำลังดี ไม่ว่าจะเป็นแกงส้มปลากระพงแดง แกงกะทิใบชะพลูกุ้ง (ใช้กะทิสดแท้ๆ ด้วย เชื่อเราว่ามันอร่อยกว่าที่ทานกันทั่วไปหลายเท่า) และปลาสามรสเนื้อแน่นๆ เอาเป็นว่ากลุ่มพวกเราทานกันจนท้องแตกไปตามๆ กัน




หลังจากนั้นเราเดินทางทัวร์เกาะต่อด้วยรถสามล้อพ่วง ซึ่งได้พี่ๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเนี่ยแหละมาเล่าให้พวกเราฟังว่าความเป็นอยู่ของคนที่อาศัยยู่บนเกาะกลางเป็นอย่างไรบ้าง เลยทำให้เรารู้ว่ากว่า 80% ของคนบนเกาะเป็นชาวมุสลิม โดยที่บรรพบุรุษต้นตระกูลของชุมชนที่นี่ได้อพยพมาจากมาลาเซีย บางส่วนของเกาะได้เปิดบริการเป็นโฮมสเตย์ บ้างทำเกษตรกรรมปลูกข้าวสังข์หยด ซึ่งช่วงเก็บเกี่ยวจะอยู่ในเดือนมกราคมของทุกปี น่าเสียดายที่ตอนเราได้แวะไปเป็นหน้าแล้งพอดี แต่ระหว่างทางเราได้ชมทิวทัศน์สองข้างทาง ได้เห็นลักษณะของบ้านยกสูงมีใต้ถุนที่แตกแต่งกันไป และผู้คนขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านไปมา เติมน้ำมันที่สถานีจิ๋วๆ ข้างทาง มันก็เพลินมากเลยนะ รู้สึกเงียบสงบห่างไกลจากความวุ่นวายอย่างแท้จริง




จุดที่เราได้ไปแวะเยี่ยมชมในตอนนั้น คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ปาเต๊ะบ้านคลองประสงค์ ครั้งแรกที่เราได้ยินเราเข้าใจว่ามันก็คือผ้าบาติกแหละ แต่จริงๆ แล้วเค้าเรียกว่าผ้า "ปาเต๊ะ" ซึ่งเป็นภาษามาลายู แปลว่าผ้าที่เขียนด้วยขี้ผึ้งเป็นลวดลาย บริเวณที่ใช้เทียนวาดจะไม่ติดสีที่เราแต้มลงไป
ตัวผ้าต้องผ่านการย้อมสีจนกว่าจะออกมาเป็นสิ่งที่เราต้องการ ช่วงนี้งานเวิร์กช็อปงานคราฟต์กำลังฮิตมากในกรุงเทพฯ เราเดินดูสถานที่บริเวณรอบๆ แล้วทำให้นึกถึงกิจกรรมย้อมครามมากเลย เพียงแต่สำหรับคนที่นี่ มันคืองานฝีมือที่ส่งทอดต่อกันมาหลายรุ่น





เราเห็นคุณป้าผู้หญิงคนนึงนั่งยิ้มอยู่ตอนที่พี่ๆ กำลังอธิบายเรื่องผ้าปาเต๊ะ ก่อนที่จะเรียนรู้ว่าป้าประจิมคนนี้เนี่ยแหละที่เป็นคนริเริ่มนำการเขียนผ้าที่เป็นเอกลักษณ์นี้มาทำที่ชุมชน เดิมทีมีที่มาจากประเทศอินโดนีเซีย จนถึงปัจจุบันนี้ผ้าปาเต๊ะยังสามารถนำไปตัดเย็บต่อเป็นชุดสำเร็จรูปใส่ หรือจะนำไปตกแต่งบ้านก็ได้นะ
แถมยังมีการส่งไปขายในตัวเมืองอีกด้วย อาจจะไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่อาจจะเป็นครั้งแรกสำหรับเราด้วยที่ได้มาเห็นการผลิตสินค้ OTOP ถึงที่ เราเลยรรู้สึกประทับใจ อินไปกับคนในชุมชนอยู่ไม่น้อย น้องแพะที่เดินเล่นไปมารอบๆ ก็น่ารักมากเลย

อีกสิ่งที่ติดตามากเมื่อนึกถึงกระบี่ คือ ภาพของเรือที่เป็นเอกลักษณ์ เราเพิ่งได้เรียนรู้ว่าเจ้าเรือนั้นมีชื่อว่า “เรือหัวโทง” ซึ่งไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันออกไปเรื่องการใช้งาน แต่ยังคงลักษณะหัวแหลมๆ ที่เห็นนี้ไว้เหมือนกัน ตอนนั้นพี่เขาเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดเลยว่า การต่อเรือหัวโทงนั้นต้องผ่านวิธีการอะไรบ้าง มันเป็นเหมือนศิลปะงานไม้ของคนเมืองเกาะกลาง เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่กับท้องทะเลตลอดชีวิต ทำการประมง ใช้เดินทางเข้าตัวเมือง เรือบางลำใช้เวลาต่อแค่สัปดาห์เดียวเองนะ!
ที่สำคัญคือคนที่ต่อเรือเป็นเขาไม่ได้เปิดสูตรวิธีการต่อเรือ เพราะมันเป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมาหลายรุ่นด้วยความตั้งใจที่จะอนุรักษ์สิ่งนี้ไว้ นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเรียนการทำเรือหัวโทงแบบจำลองเล็กๆ ได้ที่กลุ่มผลิตเรือหัวโทงจําลองชุมชนบ้านเกาะกลางได้เลย (โทร. 081-569-0224)


น่าเสียดายที่เราไม่ได้มีโอกาสไปพักโฮมสเตย์บนเกาะแห่งนี้ เพราะเราเชื่อว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เรียนรู้มาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพิธีการทางศาสนาที่มัสยิด การใช้ชีวิตในแต่ละวัน หรือจะเป็นการออกเดินเรือไปจับปลา
เรียนรู้เรื่องระบบนิเวศที่ไม่เหมือนใครของเกาะนี้ เรามั่นใจว่าจะต้องกลับไปพักแบบโฮมสเตย์ซักครั้ง เพราะมันมีเสน่ห์บางอย่างในการได้เห็นการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากภาพลักษณ์เดิมๆ ของจังหวัดกระบี่ที่เราคุ้นเคยไปอย่างสิ้นเชิงเลย

