Skip to main content
AdSense

4 กิจการเลือดข้นคนจางในชีวิตจริง

กู๋เสริฐก็กู๋เสริฐเถอะ

4 กิจการเลือดข้นคนจางในชีวิตจริง
October 14, 2018 Bangkok time
จะมีซีรีส์เรื่องไหนที่ทำเอาคืนวันศุกร์เสาร์ต้องรีบกลับบ้านไปดูในเวลานี้ได้อย่าง เลือดข้นคนจาง เพราะนอกจากความสนุกในการติดตามเรื่องราวว่า "ใครฆ่าประเสริฐ" และแรงจูงใจของฆาตกรที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนในตระกูลเดียวกันแท้ ๆ แล้ว ผู้ชมซีรีส์เรื่องนี้ยังยังดูไป ทวีตไป เรียกว่าถ้าดูช้าไปนิดเดียวคือห้ามเข้าทวิตเตอร์ เดี๋ยวจะเจอสปอยล์เสียก่อน 
 
หลายคนคงรู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้เค้าโครงและแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงของตระกูลนั้นนี้ในบ้านเรา แล้วมาต่อยอดจนเป็นบทละครที่เข้มข้นแบบนี้ได้ ซึ่งหลายครั้งก็ทำให้เรารู้ว่า ที่จริงแล้วศึกสายเลือดนี่ก็น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าศัตรูรอบตัวใด ๆ เลยนะ และที่จริงเราก้ยังพบเห็นหลากหลายธุรกิจในบ้านเราที่ไม่ต่างอะไรจากในซีรีส์ แถมยังเกิดขึ้นจริง ๆ จนต้องร้องโอ้โหว่า นี่มันเดือดไม่ต่างกับเลือดข้นคนจางเลยเถอะ
 

ก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรือง

 
ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูชื่อดังย่านพร้อมพงษ์ที่เปิดขายมานานกว่าครึ่งศตวรรษ เปิดขายมานานขนาดนี้แน่นอนว่าเรื่องความอร่อยคงไม่ต้องพูดถึง แถมตอนนี้ก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรืองยังได้การันตีจาก Michelin Guide ประเภท BIB GOURMAND หนึ่งในร้านอาหารถูกและดีของกรุงเทพฯ อีกด้วย การเดินทางไปร้านก็ไม่ยาก เพราะร้านตั้งอยู่หน้าปากซอยสุขุมวิท 26 เดินเข้าซอยไปไม่ถึง 200 เมตรก็เจอร้านทางขวามือแล้ว
 
ภาพจาก ananda.co.th
 
แต่ใครที่เพิ่งเคยมาก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรืองก็อาจสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมมีร้านก๋วยเตี๋ยวหมูรุ่งเรืองตั้งอยู่ 2 ร้าน แถมยังตั้งติดกันเลยต่างหาก แล้วร้านไหนเป็นร้านของจริง ร้านไหนของก๊อปปี้กันแน่ จุดนี้ขอบอกว่าทั้งสองร้านเป็นของจริงทั้งคู่ เพียงแต่เกิดจากพี่น้องที่แยกออกมาทำธุรกิจก๋วยเตี๋ยวหมูจากสูตรของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังของการแยกร้านเราก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเพราะอะไร ทำไมต้องทำเป็นสองร้าน ทำไมไม่ช่วยกันบริหารและเปิดเป็นร้านเดียวใหญ่ ๆ ไปเลย ถึงอย่างนั้นในความมีสองร้านนี้ก็ไม่ได้เกิดแรงอาฆาตหรือเขม่นกันอย่างดุเดือดอะไร เพราะเราก็เห็นการค้าขายกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาตลอด อีกอย่างคือแม้ว่ามาจากสูตรเดียวกัน แต่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่ารสชาติก็ยังต่างกันอยู่นิด ๆ โดยร้านหัวมุม (ร้านเล็ก) เราว่าหมูบะช่อของเขามีรสเค็มกว่านิดนึง พอใส่ในน้ำซุปเลยมีความกลมกล่อมแบบก๋วยเตี๋ยวไทย ส่วนร้านใหญ่ขนาด 2 คูหาที่ติดกันนั้นจะจืดกว่า น้ำซุปก็จะจืด ๆ สไตล์จีน อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย มีโอกาสก็ลองไปชิมดูแล้วกันนะ ลองทั้งสองร้านเลยก็ดี

ไผ่ทองไอศกรีม

 
เป็นมหากาพย์เรื่องโอละพ่อที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ ไม่นานนี้เอง เมื่ออยู่ ๆ เราก็เห็นคนแชร์ภาพ ๆ หนึ่งจากเพจเฟซบุ๊ก ไผ่ทองไอสครีม (ใช่ เขาเขียนว่า ไอสครีม จริง ๆ) เป็นภาพการ์ตูนน่ารัก ๆ 6 ช่องจบ เนื้อหาของการ์ตูนอธิบายกึ่งเตือนภัยว่า ระวังนะ ไอศกรีมไผ่ทองที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย มันมีของปลอมด้วย ! ของจริงจะต้องเป็นโลโก้วงกลม หน้าตาทันสมัย สระไม้ม้วนจะเป็นสีทองโค้ง ๆ สวย ๆ ส่วนของปลอมนั่นจะเป็นโลโก้เก่า ๆ มีรูปต้นไผ่รก ๆ ประดับด้วย แถมคนขายก็ยังดูแต่งตัวมอซออีก ระวังไม่สะอาดนะ ซึ่งพอมีภาพนี้ออกมา หลายคนก็เริ่มสงสัยว่าเอ๊ะ นี่มันของปลอมอย่างนั้นเหรอ เพราะที่ผ่านมา ได้กินของปลอมมากกว่าของจริงอีก
 
 
แต่ปรากฎว่าไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคอมเมนต์หนึ่งที่เขาบอกว่าตนเป็น "อา" ออกมาแสดงความคิดเห็น แฉให้พวกเราถึงบางอ้อกันไปเลยว่าแท้จริงแล้วเป็นศึกแย่งชิงแบรนด์กันในตระกูลนั่นเอง ซึ่งเกิดจากผู้เป็นหลานแยกออกมาตั้งโรงงานใหม่ พร้อมกับใช้ชื่อเดิม (เปลี่ยนตัวอักษรนิดหน่อยให้เขียนคำว่าไอศกรีมไม่เหมือนกัน) เปลี่ยนโลโก้ใหม่ แล้วไปจดทะเบียนสินค้า พร้อมกับสร้างโพสต์โจมตีของเก่าทันที ซึ่งเจ้าของใหม่นี่คือคนพี่ ส่วนเจ้าของแบรนด์เดิมคือคนน้องที่สืบทอดกิจการมา งานนี้เรียกว่าเลือดข้นคนจางแบบจางในจางกันไปเลยยย

น้ำพริกเผาแม่ประนอม

 
ถ้าประเด็นหลักของเลือดข้นคนจางคือเรื่องหุ้นโรงแรม ประเด็นหลักของน้ำพริกเผาไทยตราแม่ประนอมก็คงเป็นเรื่องหุ้นโรงงานนี่แหละ ความเผ็ดความร้อนก็ไม่ต่างจากเรื่องราวในซีรีส์เลย เผ็ดกว่าน้ำพริกเผาที่ทำขายเสียอีก เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะจำได้ลาง ๆ ไปแล้วว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นในตอนนั้น (ซึ่งตอนนี้ทั้งสองครอบครัวเขาเคลียร์กันได้แล้วนะ) ถ้าอย่างนั้นเราขอสรุปสั้น ๆ ให้พอคิดออกแล้วกัน
 
 
น้ำพริกเผาแม่ประนอม ได้ลูกสวคนโตกับลูกเขยเข้ามาช่วยดูแลกิจการให้ ซึ่งสามีของแม้ประนอมในตอนนั้นก็ยังเป็นแกนหลักของกิจการอยู่ แต่พอมาปี 2544 กิจการต้องเพิ่มทุน จึงแบ่งหุ้นกันใหม่ มีอยู่ทั้งสิ้น 59,000 หุ้น แบ่งเป็นสามีแม่ประนอมถือ 20,000 หุ้น ตัวแม่ประนอมถืออีก 18,200 หุ้น ลูกสาวคนโตที่ดูแลกิจการถืออีก 20,000 หุ้น ส่วนลูกสาวคนกลางได้ไปแค่ 350 หุ้น เรื่องเกิดขึ้นเมื่อสามีของแม่ประนอมเสียชีวิต มรดกหุ้นกลับมาเป็นของแม่ประนอมและลูก ๆ ตอนนั้นลูกสาวคนโตเอาเอกสารมากมายมาให้แม่ประนอมเซ็น ซึ่งนั่นเป็นเอกสารโอนมรดกของพ่อในส่วนที่แม่ประนอมควรได้ โอนมาให้ตัวเองแทน ยังไม่พอ ปี 2558 (หลังจากให้เซ็นครั้งแรก 2 ปี) ลูกสาวคนโตเอาเอกสารมาให้เซ็นอีก คราวนี้เป็นเอกสารเซ็นโอนมรดกตัวเองให้ลูกสาวคนโตทั้งหมด กลายเป็นกิจการทั้งหมดเป็นของลูกสาวหมดเลย ไม่ใช่ของแม่ประนอมแล้ว เลยฟ้องลูกตัวเองกันอุตลุต เรื่องราวก็ทะเลาะกันไปมา ไล่ออกจากบ้านบ้าง กลับมาอยู่ด้วยกันบ้าง แต่สุดท้ายก็จบที่ยอมความกันได้แต่โดยดีนะ

GTH

 
กิจการสุดท้ายแม้จะไม่ใช่เรื่องราวในวงศ์ตระกูล แต่ความเป็นครอบครัวคนทำหนังก็ให้อารมณ์ไม่ต่างกันเท่าไหร่ หากยังจำกันได้ เมื่อปี 2558 ค่ายหนังอารมณ์ดีที่มีหนังหลายเรื่องในดวงใจของเราอย่า GTH ได้ออกมาประกาศปิดตัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งเรื่องราวเกิดขึ้นจากการที่บริษัทฯ ขยายกิจการใหญ่ขึ้น และการที่มีผู้บริหาร 3 คนที่มาจาก 3 ค่ายจนเกิดเป็นการรวมตัวกันนี้มีความเห็นไม่ตรงกัน ไท เอนเตอร์เทนเมนต์ (เจ้าของตัว T ใน GTH) อยากเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะได้มีเงินทุนทำโปรเจ็กต์หนังเยอะขึ้น แต่หับ โห้ หิ้น บางกอก (เจ้าของตัว H ใน GTH) ดห็นว่ายังไม่ควรเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะถ้าเอาเข้าตลาดฯ แล้วจะโดนนายทุนกดความคิดสร้างสรรค์และทำให้งานออกมาไม่ได้ดีแน่
 
 
ส่วนแกรมมี่ (เจ้าของตัว G ใน GTH) นี่มาทางสายกลาง คือมองเห็นทั้งข้อดีข้อเสีย ได้ข้อสรุปแบบไหนก็พร้อมเอาด้วยทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมใคร ไม่ได้ข้อสรุปทางใดทั้งนั้น ทางออกที่ทั้งสามเลือกคือ การปิดตัว GTH และแยกกันไปทำในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ ทำให้ทุกวันนี้เรามีค่ายหนังใหม่เกิดขึ้นอย่าง GDH559 และ T Moment นั่นเอง
 
AdSense
AdSense
AdSense