เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่แอนิเมชันได้รับการยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ชนิดหนึ่งที่สามารถสำรวจประเด็นลึกซึ้งหนักหน่วง และไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เป็นสื่อความบันเทิงสำหรับคุณหนู ๆ เท่านั้น หลายครั้งที่แอนิเมชันเปิดโลกจินตนาการให้ผู้แต่งหรือคนทำหนังได้ดำดิ่งลงไปสำรวจประเด็นต่าง ๆ ในเชิงลึก ในมุมที่ไม่สามารถทำได้ในโลกของความเป็นจริง และเอื้อเฟื้อพื้นที่ของโลกแฟนตาซีให้ผู้แต่งได้ถ่ายทอดสารที่ตัวเองอยากจะส่งผ่านไปถึงผู้อ่านได้ชัดเจนขึ้น
หนึ่งในแอนิเมชันที่ใช้แฟนตาซีและจินตนาการในการสำรวจประเด็นปัญหาสังคมได้อย่างลึกซึ้งคือ Fantastic Planet ผลงานไซไฟสัญชาติฝรั่งเศสของผู้กำกับ เรอเน ลาครัวซ์ ที่คว้ารางวัล Grand Prix Special Jury จากงานเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี 1973 มาได้ และแม้จะออกสู่สายตาคนดูครั้งแรกเมื่อ 47 ปีที่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นที่พูดถึงของนักดูหนังจนถึงปัจจุบัน และถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 36 ของรายชื่อแอนิเมชันที่ดีที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสาร Rolling Stone ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลามาจาก 2 ข้อหลัก คือ งานภาพสุดเซอร์เรียลที่มาพร้อมกับดนตรีประกอบไซคีเดลิกหลอนประสาท และประเด็นในหนังที่ยังคงร่วมสมัยกับยุคปัจจุบัน
Fantastic Planet ว่าด้วยเรื่องราวบนดวงดาวที่มนุษย์กลายเป็นผู้ถูกล่า ดาวดวงนี้มีชื่อว่า ยัม (Ygam) ผู้ปกครองดวงดาวคือหุ่นยนสีฟ้าขนาดมหึมาที่เรียกว่า ดรากส์ (Draggs) ส่วนมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า ออมส์ (Oms ล้อกับคำว่า Homme ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า คน) มีสถานะเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่ดรากส์เลี้ยงไว้ดูเล่น จะบี้ให้ตายก็ยังได้ เรื่องราวจะโฟกัสไปที่ออมส์ทารกที่ถูกดรากส์เก็บมาเลี้ยง จนเติบโตขึ้นมาและได้ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ที่เหล่าดรากส์ได้เรียนในโรงเรียน จนวันหนึ่งเขาจึงคิดที่จะก่อกบฏและปลดแอกเผ่าพันธุ์ออมส์จากการถูกกดขี่
ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องราวไซไฟบนดาวสมมุติ ทำให้งานภาพที่ปรากฏในหนังก็มีความล้ำตามแบบฉบับหนังไซไฟอยู่แล้ว แต่ Fantastic Planet กลับฉีกแนวไซไฟไปอีกขั้น ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยสไตล์ของเซอร์เรียลลิซึม (Surrealism) ที่ทำให้เรื่องเหนือจริงนี้ยิ่งกว่าเหนือจริงขึ้นไปอีก ตลอดเวลาที่รับชม ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองฝันร้ายที่ทุกสิ่งเต็มไปด้วยความอัศจรรย์พันลึก และรู้สึกเหมือนถูกคุกคามด้วยบรรยากาศของความอันตรายบนดวงดาวยัม ที่ถูกขับให้เข้มข้นขึ้นด้วยดนตรีไซคดีลิกสุดหลอน ไม่น่าแปลกใจที่ภาพในหนังจะกดดันสั่นประสาทได้ขนาดนั้น เพราะที่เห็นทั้งหมดในหนังกลั่นกรองมาจากจินตนาการของ โรลองด์ ทอปอร์ ศิลปินและนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนสำคัญของขบวนการเซอร์เรียลลิซึมในฝรั่งเศส
ทอปอร์สนใจในสภาวะหลอนฝันร้าย ความตาย และอาการป่วยไข้ทางจิต ซึ่งเขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นในการทำงานเรื่อยมา จนถึงขนาดที่ว่า ณ จุดหนึ่งการทำงานสไตล์เซอร์เรียลลิซึมไม่ตอบโจทย์และ 'แมส' เกินไปสำหรับเขา ก่อนที่จะมาทำหนังเรื่องนี้ เขาเคยร่วมมือกับเพื่อนผู้กำกับ เฟอร์นานโด อาร์ราเบล และ อเลฮานโด โจโดโรว์สกี (คนหลังนี้เป็นผู้กำกับหนังสุดเซอร์เรียลขึ้นหิ้งอย่าง The Holy Mountain) ตั้งขบวนการศิลปะขึ้นมาใหม่ที่ชื่อว่า ขบวนการแพนิก (Panic Movement) ซึ่งหลัก ๆ แล้วมีเป้าหมายที่จะสร้างงานศิลปะที่ทำให้คนดูรู้สึก 'ช็อก' นั่นเอง


งานภาพสุดเซอร์เรียลเหมือนกลั่นมาจากความกลัวและความกังวลที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์นี้ช่วยเสริมประเด็นที่ผู้กำกับลาครัวซ์ต้องการจะสำรวจได้เป็นอย่างดี Fantastic Planet ได้รับการกล่าวขวัญถึงในแง่ของการนำเสนอประเด็นที่ตีความออกมาได้น่าสนใจหลากหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือประเด็นเรื่อง สิทธิสัตว์ (Animal Right) ด้วยการพลิกสลับบทบาทให้มนุษย์เป็นผู้ถูกล่าจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาและทรงพลังกว่าอย่างพวกดรากส์ และยังนำเสนอภาพของมนุษย์ที่อ่อนแอ ไร้ปัญญา และไร้อารยธรรม ซึ่งเป็นมุมมองที่มนุษย์ผู้ล่าใช้มองสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นว่าอยู่ใต้ตนมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

แต่ลึกลงไปกว่านั้น Fantastic Planet นำเสนอประเด็นเรื่องสิทธิของผู้คนที่อยู่ใต้ผู้ปกครองอันโหดเหี้ยมของทรราชในช่วงปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเวลาที่ลาครัวซ์และทอปอร์เริ่มทำหนังเรื่องนี้ สหภาพโซเวียตได้ทำการบุกรุกรานประเทศเชโกสโลวาเกีย ซึ่งก็เป็นการกระตุ้นบรรยากาศแห่งความกังวลและความกลัวที่แผ่ปกคลุมไปทั่วโลกจากสภาวะสงครามเย็นที่ยืดเยื้อมานาน Fantastic Planet จึงกลายเป็นหนังที่สะท้อนความกังวลและความหวาดกลัวของประชาชนที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะที่ชะตากรรมแขวนไว้กับเหล่าผู้นำและผู้มีอำนาจ ดวงตาสีแดงก่ำและการจ้องมองเขม็งของเหล่าดรากส์ในเรื่อง จึงเป็นภาพสะท้อนของสายตาของเหล่าผู้มีอำนาจที่จ้องมองประชาชนตัวเล็ก ๆ ด้วยสายตาอันเยือกเย็นและไม่ลังเลที่จะเข่นฆ่า Fantastic Planet กลายเป็นแอนิเมชันที่นำเสนอประเด็นการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ในโลกของคนมีอำนาจ ประชาชนผู้อยู่เบื้องล่างมีสถานะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากไปพิสูจน์ว่า แอนิเมชันเรื่องนี้ล้ำสมัยและเข้มข้นด้วยประเด็นทางการเมืองขนาดไหน หรือใครที่กำลังเซ็งกับอะไร ๆ ในบ้านเราตอนนี้ ทาง Bangkok Screening Room เขากำลังจัดฉายเต็มโปรแกรมให้คอหนังได้เสพย้อมใจ ตั้งแต่วันนี้ - 14 มี.ค. โดยสามารถเข้าไปดูรอบฉายและจองบัตรได้ที่ bkksr.com